Category Archives: นิทานชาดก

นิทานชาดก สุหนุชาดก : ร้ายกับร้ายเจอกัน จะไม่ทำร้ายกัน

สุหนุชาดก

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า นิทานชาดก สุหนุชาดก : ได้พูดถึงพระภิกษุ 2 รูปที่เป็นคนดุร้ายอยู่กับใครก็ไม่ได้ แต่เมื่อทั้ง 2 มาเจอกันก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระองค์มีอำมาตย์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ซื้อม้าที่มีความยุติธรรมอยู่คนหนึ่ง อำมาตย์คนนี้ได้ซื้อม้าจากพ่อค้าในราคาอันสมควร

ต่อมาพระราชาเห็นว่า เป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์เกินไป เพราะราคาม้าก็ไม่ใช่น้อย จึงให้คนเก่าพ้นจากหน้าที่ แล้วทรงแต่งตั้งให้อำมาตย์คนใหม่เข้ามาทำแทน โดยทรงบอกอุบายแก่อำมาตย์คนใหม่ว่า

“เมื่อพ่อค้านำม้ามาขาย เจ้าจงปล่อยม้าที่ชื่อมหาโสณะ ตัวดุร้าย  ออกไปกัดม้าพวกนั้นให้เป็นแผลเสียก่อน แล้วค่อยตกลงซื้อม้ากัน เจ้าจะได้ต่อราคา ซื้อม้าได้ในราคาที่ถูกลง”

อำมาตย์คนใหม่ก็ทำตาม พวกพ่อค้าก็ต้องจำยอม ต้องยอมขายม้าให้กับวังในราคาที่ถูกมาก แล้วนำเรื่องไปบอกอำมาตย์คนเก่า

“พวกเราแย่แล้วล่ะท่าน อุตส่าห์เลี้ยงม้ามาเป็นอย่างดี ม้าเราก็แข็งแรงล่ำสัน ต้องมาโดนอุบายของพระราชา ให้เจ้าม้ามหาโสณะตัวร้ายมันมากัดม้าของเรา พอม้าพวกเราบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ก็ซื้อม้าในราคาที่ถูกเกินไป จนพวกเราขาดทุนกันย่อยยับ เห้อ แย่จริงๆ พวกเราจะทำยังไงกันดี”

“แล้วพวกท่านมีม้าตัวดุร้ายบ้างหรือเปล่าละ”  อำมาตย์คนเก่าถาม

“มีครับมี มันชื่อสุหนุ มีนิสัยก้าวร้าว ดุร้ายมาก ม้าตัวอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เลย” พวกพ่อค้าตอบ

“ถ้างั้นเอางี้นะ  คราวหน้าเมื่อพวกท่านมาขายม้า ก็ให้พาม้าสุหนุมาด้วย”

“ท่านจะให้ม้ามันมาสู้กันเหรอ” พ่อค้าม้าตะโกนถามด้วยความตกใจ

“เอาเถอะน่า เชื่อเราเถอะ มันไม่สู้กันถึงตายหรอก”  อำมาตย์คนเก่ามีแผนในใจ

 

ครั้งต่อมา เมื่อพ่อค้านำม้ามาขายก็ได้พาม้าสุหนุมาด้วย อำมาตย์เจ้าหน้าที่ซื้อม้าของพระราชา จึงปล่อยม้า มหาโสณะออกไป เพื่อให้มันกัดม้าของพวกพ่อค้าเหมือนเดิม

พวกพ่อค้ารู้ทันจึงทำตามแผนโดยการปล่อยม้าสุหนุเข้าไป พวกเขาหวังจะเห็นม้าดุร้ายทั้งสองตัวสู้กัน แต่กลายเป็นว่า ม้าทั้งสองกลับทำตัวเรียบร้อย ต่างก็เลียร่างกายให้กัน เหมือนรู้จักกันมานาน

คุณชาดก : ราชสีห์เกือบตาย รอดมาได้เพราะจิ้งจอก

คุณชาดก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า คุณชาดก : ได้พูดถึงคุณธรรมของพระอานนท์ ที่มีความกตัญญูกตเวทีคือรู้คุณและตอบแทนคุณพระภิกษุผู้มีอุปการะแก่ตน

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนยอดเขา ด้านล่างเขาลูกนั้น มีสระน้ำใหญ่และทุ่งหญ้าเขียวขจี เป็นที่หาอาหารของสัตว์ต่างๆ

ในวันนั้นเองมีกวางตัวหนึ่งกำลังเล็มหญ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย ราชสีห์มองลงมาจากบนยอดเขา คิดจะจับกวางตัวนั้นกิน จึงกระโดดลงจากยอดเขา แล้ววิ่งไปด้วยความเร็ว 

เจ้ากวางกลัวตายจึงส่งเสียงร้องแล้วก็รีบวิ่งหนีสุดชีวิต กวางตัวนั้นรอด  ส่วนราชสีห์เบรคไม่ทัน จึงลื่น สไลด์ตกลงไปในแอ่งโคลนตม ใกล้ๆสระใหญ่

แม้จะพยายามออกแรงยังไง ก็ไม่สามารถขึ้นมาจากหล่มนั้นได้ จึงได้แต่ยืนปักเท้าทั้ง 4 อยู่ที่โคลนตมนั้น อดอาหารอยู่ถึง 7 วัน 

ต่อมาในวันที่ 8 มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินเที่ยวหาอาหาร เมื่อเห็นราชสีห์ก็หนีไปด้วยความกลัว ราชสีห์เห็นสุนัขจิ้งจอกก็ร้องเรียกแล้วพูดว่า

“เจ้าจิ้งจอกกลับมาก่อน เจ้าอย่าเพิ่งหนีไป ข้าติดอยู่ที่นี่มา 7 วันแล้ว ช่วยข้าด้วยเถอะ”

สุนัขจิ้งจอกตะโกนกลับไปว่า

“ข้าก็อยากช่วยท่านอ่ะนะ แต่ถ้าท่านขึ้นมาได้ ท่านก็จะจับข้ากินน่ะสิ”

 

“เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้มีพระคุณหรอก ถ้าข้าขึ้นไปได้ จะตอบแทนคุณเจ้าอย่างสาสม”

“เอ ทำไมมันฟังดูแปลกๆล่ะ เอาๆ ข้าช่วยเจ้าก็ได้”

เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัดสินใจช่วยชีวิตราชสีห์  เพราะมั่นใจว่าราชสีห์เป็นสัตว์ที่พูดคำไหนคำนั้น  ไม่เคยปลิ้นปล้อนหลอกลวง

มันก็เลยวิ่งเข้าไปตะกุยดินรอบเท้าทั้ง 4 ของราชสีห์ ขุดให้เป็นลำลางเล็กๆ เพื่อให้น้ำในสระข้างๆ ไหลเข้าไปได้  เมื่อน้ำไหลเข้าไปทำให้โตลนอ่อนตัว ราชสีห์ก็ขยับเท้าได้ 

อลีนจิตตชาดก : ช้างเผือกกตัญญู จากรุ่นพ่อต่อรุ่นลูก

อลีนจิตตชาดก ช้างเผือก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า อลีนจิตตชาดก : ทรงเล่าเพื่อเป็นกำลังใจให้พระภิกษุรูปหนึ่งที่มีความย่อหย่อนในการทำความเพียร และอยากจะสึก

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีหมู่บ้านช่างไม้อาศัยอยู่ไม่ไกลจากเมือง พวกเขามักจะล่องเรือไปตัดไม้ทางเหนือ เพื่อนำกลับมาสร้างบ้านขายให้กับชาวเมือง อยู่มาวันนึงขณะที่พวกเขากำลังช่วยกันตัดไม้อยู่ในป่า มีช้างป่าตัวนึงเหยียบตอต้นตะเคียนเข้า ตอไม้ได้แทงเข้าไปในเท้าช้าง มันเจ็บปวดมาก และเท้ามันบวมเป็นหนอง  ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ไม่รู้จะทำยังไง 

เจ้าช้างได้ยินเสียงตัดไม้ของช่างไม้อยู่ไม่ไกล จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา แล้วหมอบลงใกล้ๆ

ช่างไม้เห็นช้างเท้าบวมก็เลยรีบเข้าไปดู 

“เห้ย นั่นนายไปเหยียบอะไรมา เท้าบวม เลือดโชกขนาดนี้ พวกเรา มาช่วยกันทำแผลให้เจ้าช้างนี่หน่อย”

ช่างไม้ทั้งหมดต่างก็รีบมาช่วยกันปฐมพยาบาลทันที  ด้วยการใช้มีดกรีดรอบตอไม้ ผูกเชือกแล้วช่วยกันดึงออกมา บีบหนองแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น แล้วก็ใส่ยาทาแผล ไม่นานนักช้างก็หายเจ็บปวด เจ้าช้างคิดว่า

“เรารอดชีวิตมาได้ เพราะช่างไม้ ได้ช่วยเหลือเราไว้ เราควรจะอยู่ช่วยพวกเขาทำงานเพื่อเป็นการตอบแทน” 

ตั้งแต่นั้นมา เจ้าช้างตัวโตก็อยู่เป็นลูกมือช่างไม้ ช่วยลากซุงบ้าง ช่วยพลิกไม้บ้าง หยิบของส่งให้บ้าง  แต่ตอนนี้เจ้าช้างมันแก่มาก และทำงานหนักต่อไปไม่ไหว ก็เลยคิดว่า จะให้ลูกของมันมาอยู่รับใช้ช่างไม้แทนตัวเองต่อไป จึงเข้าป่าไปพาลูกช้างเผือกของตน มามอบให้กับเหล่าช่างไม้ และบอกกับช่างไม้ว่า

“นี่คือลูกช้างเผือกของเรา เราขอมอบลูกให้กับท่านเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือชีวิตเรา ตั้งแต่นี้ ลูกเผือกจะได้มาอยู่ช่วยท่านทำงาน เราก็แก่มากแล้วขอไปตามทางของเรา ขอให้ท่านจงเอ็นดูลูกของเราด้วยเถอะ”

 

แล้วหันไปสอนลูกว่า

“ช่างไม้เหล่านี้มีพระคุณกับพ่อมาก พวกเขาได้ช่วยเหลือชีวิตพ่อไว้ เจ้าจงอยู่ตอบแทนคุณของเขาแทนพ่อเถอะ”

“ได้ครับพ่อ พ่อไม่ต้องห่วง พ่อกลับไปอยู่กับแม่เถอะ ทางนี้ ผมจะดูแลเอง” 

เจ้าช้างเผือกน้อยตอบพ่อด้วยความมั่นใจ 

อุรคชาดก : พญาครุฑผู้มีคุณธรรม ไม่ขย้ำพญานาค

อุรคชาดก

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า อุรคชาดก : มีอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระเจ้าโกศล ที่เจอหน้ากันทีไร ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตทุกครั้งไป พระพุทธเจ้าจึงได้วางกุศโลบายให้ทั้งสองปรองดองกัน โดยท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านของอำมาตย์คนแรกแล้วก็เทศน์จนอำมาตย์คนแรกบรรลุธรรม จากนั้นจึงให้เขาช่วยถือบาตรให้พระองค์เพื่อจะไปบิณฑบาตต่อที่บ้านของอำมาตย์อีกคนที่เคยเป็นคู่วิวาทกัน เมื่อไปถึง อำมาตย์คนที่ 2 ก็ได้นิมนต์พระศาสดาให้เข้าไปในบ้าน แล้วก็มีอำมาตย์คนแรกตามเข้าไปด้วย พระพุทธเจ้าได้เทศน์อานิสงส์แห่งการเจริญเมตตาและเรื่องอริยสัจ 4 จนอำมาตย์คนที่ 2 ก็บรรลุธรรมเช่นเดียวกับอำมาตย์คนแรก อำมาตย์ทั้ง 2 คนต่างก็ขอขมาซึ่งกันและกัน และไม่ทะเลาะกันอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กาลครั้งหนึ่ง เพื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี วันหนึ่งมีการจัดงานมหรสพใหญ่ที่กลางเมือง ชาวเมืองต่างก็มาเที่ยวเล่นในงานเป็นจำนวนมาก นอกจากมนุษย์แล้ว ก็ยังมีเทวนาค นาค และครุฑ แปลงตัวเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่นในงานด้วย และในมุมหนึ่งของงาน มีพญาครุฑที่แปลงกายเป็นมนุษย์กำลังยืนดูการแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน ขณะนั้นเอง นายพญานาคแปลงก็เดินมาดูการแสดงที่เวทีนั้นด้วยเหมือนกัน  โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า คือพญาครุฑผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจ  เพราะอาหารของพญาครุฑก็คือพญานาค พญานาคผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บังเอิญเอามือไปแตะเข้าที่บ่าของพญาครุฑ ที่อยู่ด้านหน้า พญาครุฑสงสัย ว่าใครกันนะ บังอาจเอามือมาแตะบ่าเรา ก็เลยหันขวับไปมอง เมื่อสองสายตาประสานกัน  พญาครุฑก็รู้ว่าคนที่เอามือมาแตะบ่าตน คือพญานาค แล้วพญานาคก็รู้อีกเหมือนกันว่าแววตาดุดันคู่ข้างหน้านั้นคือพญาครุฑ

 

พญานาคไม่รอช้า รีบวิ่งหนีสุดชีวิต พญาครุฑก็ไม่รอเหมือนกัน รีบวิ่งตามไปติดๆ หวังจะจับพญานาคมากินเป็นอาหารมื้อค่ำให้ได้

ตัดภาพมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากงานมหรสพ  มีพระฤาษีองค์หนึ่ง พักอยู่ที่บรรณศาลา ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น  และในตอนนั้นท่านได้ลงไปอาบน้ำในลำธารและวางผ้าอาบน้ำไว้ที่ริมฝั่ง

พญานาควิ่งมาถึง เห็นผ้าของพระฤาษีกองอยู่ ก็เลยคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า 

นิทานชาดก สูกรชาดก : หมูท้าราชสีห์

สูกรชาดก นิทานชาดก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสชาดก สูกรชาดก : ทรงปรารถภิกษุแก่รูปหนึ่งที่มีความริษยาพระสารีบุตร พระภิกษุแก่ได้เข้าไปหาพระสารีบุตรเพื่อจะแกล้งถามปัญหา แต่พระสารีบุตรรู้ว่าพระแก่นั้นมีความอิจฉาริษยาจึงเดินหลีกไป ทำให้ชาวบ้านที่ตั้งใจมาฟังธรรมไม่พอใจพากันไล่พระแก่นั้นออกไปจนพลาดวิ่งไปตกหลุมส้วม

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้ภูเขา และในที่ไม่ไกลจากนั้นก็มีฝูงสุกรอาศัยสระน้ำบริเวณนั้นอยู่ และยังมีพระดาบสหมู่ใหญ่พักอยู่ใกล้ๆนั้นด้วย

วันหนึ่งหลังจากราชสีห์ล่าสัตว์และกินเนื้อจนอิ่มแล้ว จึงเดินไปกินน้ำที่สระ แล้วเหลือบไปเห็นสุกรตัวอ้วนพีตัวหนึ่งกำลังหากินอยู่แถวสระนั้น ราชสีห์คิดว่าสักวันหนึ่งจะจับหมูตัวนี้กิน แต่ถ้าหมูเห็นเรามันจะไม่มาอีก จึงเดินหลบไป

ฝ่ายเจ้าหมูก็เห็นพฤติกรรมของราชสีห์ มันคิดกระหยิ่มในใจว่าราชสีห์กลัวมัน จึงร้องเรียกราชสีห์ให้มาสู้กับมัน

เห้ย เจ้าราชสีห์ ข้ามี 4 เท้า เจ้าก็มี 4 เท้าเหมือนกัน แน่จริงก็กลับมาสู้กันก่อน แกกลัวข้าหรือถึงเดินหนีไปแบบนั้น”

 

วันนี้ข้ายังไม่สู้กับเจ้า แต่จากนี้ไปอีก 7 วัน เราค่อยมาสู้กันที่นี่” ราชสีห์ตอบแล้วเดินกลับไป

เจ้าหมูได้ยินดังนั้นก็ลำพองใจเป็นอันมาก ว่าจะได้สู้กับราชสีห์ มันกลับไปเล่าให้พวกญาติฟัง ญาติสุกรฟังแล้วพากันตกใจ พูดขึ้นว่า “ เจ้าจะพาพวกเราทั้งหมดให้ถึงความฉิบหายกันคราวนี้แหละ เจ้าไม่รู้จักกำลังของตัวจะหวังสู้กับราชสีห์ ราชสีห์จักมาทำให้เราทั้งหมดถึงแก่ความตาย เจ้าอย่าทำกรรมอุกอาจนักเลย” 

นิทานชาดก สิคาลชาดก : ราชสีห์วิ่งชนถ้ำ

นิทานชาดก สิคาลชาดก ราชสีห์วิ่งชนถ้ำ สุนัขจิ้งจอก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสชาดก สิคาลชาดก : ทรงปรารภลูกชายของช่างตัดผมที่ตรอมใจตายเพราะไปหลงรักธิดากษัตริย์แห่งเจ้าลิจฉวี

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีครอบครัวราชสีห์พี่น้อง ประกอบด้วย พี่ชาย 7 ตัว และน้องสาว 1 ตัว อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองในป่าหิมพานต์ และไม่ไกลจากที่นั้นก็ยังมีถ้ำแก้วผลึกใส และมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำแก้วนั้น

ต่อมา เมื่อพ่อแม่ของราชสีห์ทั้ง 8 ได้ตายลง พี่ชายทั้ง 7 จึงให้น้องสาวนอนอยู่ในถ้ำทองนั้น แล้วตัวเองมีหน้าที่ออกไปหาอาหาร เมื่อได้อาหารมาก็จะนำมาแบ่งให้น้องสาวกิน

สุนัขจิ้งจอกหลงรักราชสีห์สาวสวยมานานแต่ไม่มีโอกาสเข้าไปหา จนกระทั่งพ่อแม่ของรายสีห์ได้ตายลง และในเวลาที่พี่ชายทั้ง 7 ออกไปหาอาหาร มันจึงได้เข้าไปหานางราชสีห์สาว แล้วพูดจาเกี้ยวพาราสี ว่า “นี่แน่ะ แม่ราชสีห์ เราเป็นสัตว์สี่เท้า เจ้าก็เป็นสัตว์สี่เท้าเหมือนกัน เจ้าจงมาเป็นภรรยาเรา เราจะเป็นสามีเจ้า และเราจะอยู่ด้วยกันอย่างบันเทิงใจ”

นางราชสีห์ ไม่ตอบอันใด ได้แต่คิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์เลวทราม เทียบได้กับจัณฑาลในหมู่สัตว์ทั้งหลาย บังอาจมาเทียบชั้นกับราชสีห์ผู้สูงส่งอย่างเรา แถมยังมาพูดจาหยาบคาย เราจะทนไปไย กลั้นใจตายไปเสียดีกว่า แต่แล้วนางราชสีห์ก็กลับคิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายทั้ง 7 ฟังก่อนแล้วค่อยตายก็ยังไม่สาย

ฝ่ายสุนัขจิ้งจอก เมื่อไม่ได้คำตอบจากนางราชสีห์ ก็คิดว่า นางไม่มีเยื่อใยในเราเสียแล้ว เสียใจกลับเข้าไปนอนในถ้ำแก้วผลึกของตน

 

ราชสีห์พี่ชายตัวที่1 กลับมาพร้อมอาหารชิ้นโตที่เพิ่งล่ามาได้ นำมาให้น้อง นางราชสีห์จึงฟ้องพี่ชายถึงเรื่องสุนัขจิ้งจอก ฝ่ายพีชายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถามน้องว่า

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน พี่จะไปฆ่ามัน”

“มันนอนอยู่ในอากาศ ใกล้เชิงเขาลูกโน้นแน่ะพี่” นางราชสีห์ตอบด้วยความใสซื่อ เพราะเห็นสุนัขจิ้งจอกนอนอยู่ในอากาศจริงๆ

นิทานชาดก สัญชีวชาดก : ช่วยเสือ ตายเพราะเสือ

สัญชีวชาดก : ช่วยเสือ ตายเพราะเสือ

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสชาดก สัญชีวชาดก : ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรูที่ไปคบหากับพระเทวทัตจนเลยเถิดไปทำการปลงพระชนม์พระราชบิดา ทำให้ในชาตินี้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่อาจบรรลุธรรมใดๆได้

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในสกุลพราหมณ์ผู้มั่คั่ง เมื่อเจริญวัยและสำเร็จการศึกษาแล้วก็ได้ไปเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในนครพาราณสี มีลูกศิษย์ 500 คน ในบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นมีเพียงหนึ่งคนที่ได้เรียนวิชาชุบชีวิตคนที่ตายแล้วให้กลับมามีชีวิตใหม่ แต่ยังไม่ทันได้เรียนมนต์แก้และป้องกัน เขาชื่อว่า สัญชีวะ

วันหนึ่งเขาไปเข้าป่าเพื่อหาฟืนกับเพื่อนๆ เห็นเสือนอนตายอยู่ จึงพูดกับเพื่อนว่า

พวกแกคอยดูนะ ฉันจะทำให้เสือตัวนี้ฟื้นขึ้นมา”

ขี้โม้หรือเปล่า แกทำไม่ได้หรอก มันตายแล้วมันจะฟื้นได้ยังไง” เพื่อนไม่เชื่อ

 

ฉันทำได้น่า พวกแกคอยดู” เขายังยืนยัน

ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู” เพื่อนๆยอม แล้วก็รีบปีนขึ้นต้นไม้ไปดูนายสัญชีวะทำการร่ายมนต์ 

นิทานชาดก กากชาดก : อีกาวิดน้ำ ความพยายามที่ไม่สำเร็จ

กากชาดก อีกาวิดน้ำ

เหตุที่ตรัสชาดก กากชาดก : ทรงปรารภเหล่าภิกษุแก่ที่พากันร้องไห้คร่ำครวญถึงอดีตภรรยาของพระเพื่อนที่ตายลง

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี มีกาสามีภรรยาคู่หนึ่งเที่ยวบินหาอาหาร มาถึงริมฝั่งมหาสมุทร ในช่วงเวลานั้น ฝูงชนได้พากันเซ่นไหว้พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อและสุราเป็นต้น แล้วพากันหลบไปเหลือไว้แต่เครื่องเซ่นไหว้

กาทั้งสองเห็น ก็เข้าไปกินอาหารและสุราจนเมามาย และคิดจะลงเล่นน้ำในมหาสมุทร ทันใดนั้นก็มีคลื่นลูกใหญ่ซัดมาโดนนางกา จนจมน้ำลงไป แล้วโดนปลาตัวใหญ่ฮุบกิน

กาผู้สามีก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียยกใหญ่ เพื่อนนกกาได้ยินจึงเข้ามาไต่ถาม ก็ได้ความว่านางกาภรรยาของเพื่อนตายเสียแล้ว ฝูงกาเหล่านั้นก็พากันตกใจและร้องอื้ออึงไปด้วย และมีความคิดว่าจะต้องช่วยกันวิดน้ำเพื่อเอานางกากลับคืนมาให้ได้

แล้วเหล่าฝูงกาก็เริ่มช่วยกันวิดน้ำด้วยการอมน้ำจากมหาสมุทรเอาไปบ้วนทิ้งในที่อื่น พวกมันช่วยกันจนสุดแรง แล้วก็หมดแรงในที่สุด ทั้งคอแห้งเพราะน้ำเค็ม ขากรรไกรล้า ปากซีด ตาแดง กาทุกตัวต่างก็อิดโรยไปตามๆกัน จึงเรียกกันมาปรับทุกข์ ว่ายังไงน้ำในมหาสมุทรนี้มันก็ไม่มีทางแห้งลงเป็นแน่ แม้พวกมันจะขนน้ำไปทิ้งเท่าไร น้ำในมหาสมุทรก็ยังคงเต็มเท่าเดิม 

นิทานชาดก วิโรจนชาดก : จิ้งจอกเหิมเกริม อยากเริ่มเป็นราชสีห์

วิโรจนชาดก : จิ้งจอกเหิมเกริม อยากเริ่มเป็นราชสีห์

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส วิโรจนชาดก : ทรงปรารภพระเทวทัตที่พยายามแสดงอากัปกิริยาเลียนแบบพระองค์ ในคราวที่พระพุทธเจ้าได้ส่งพระโมคคัลลาและพระสารีบุตรไปตามพระสงฆ์ที่หลงเชื่อย้ายไปอยู่กับพระเทวทัต เมื่อพระเทวทัตเห็นพระอัครสาวกทั้งสองมาก็ดีใจ นึกว่าจะมาอยู่ด้วยจึงให้พระโมคคัลลาและพระสารีบุตรแสดงธรรมแทน ส่วนตัวเองขอตัวไปนอนเพราะได้แสดงธรรมมาตลอดคืนแล้ว พระอัครสาวกทั้งสองแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นจนเกิดความตื่นรู้แล้วจึงพากันกลับไปสู่พระเวฬุวันวิหารกันทั้งหมด พระโกกาลิกะเห็นวิหารว่างเปล่าจึงไปสู่สำนักพระเทวทัต แล้วดึงผ้าห่มที่คลุมร่างพระเทวทัตออก กระทืบเท้าลงไปที่หัวใจอย่างแรง พระเทวทัตมีเลือดไหลออกจากปากและถึงกับเป็นไข้ในเวลาต่อมา

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี

มีไกรษรสีหราชตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ที่ป่าหิมพานต์ ครั้งหิวขึ้นมาคราใด ก็จะสะบัดกาย มองดูทิศทั้งสี่ บรรลือสีหนาท แล้วเหยาะย่างออกหาอาหาร ฆ่ากระบือใหญ่ แล้วกินเนื้อ จากนั้นได้ลงไปดื่มน้ำในสระที่มีสีเหมือนแก้วมณี แล้วจึงเดินกลับเข้าถ้ำทองตามเดิม

ครั้งหนึ่ง มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวออกล่าเหยื่อ เผชิญหน้าเข้ากับราชสีห์อย่างจัง และคิดว่าคงจะหนีไปไหนไม่รอด จึงนอนหมอบลงแทบเท้าราชสีห์

ราชสีห์ : มีะไรหรือเจ้าจิ้งจอก

สุนัขจิ้งจอก : ข้าพเจ้ามาเพื่อจะรับใช้ท่านน่ะท่านราชสีห์

ราชสีห์ : อ้อ เอาสิ มาอยู่กับข้า ข้าจะให้เจ้าได้กินเนื้อดีๆ

แล้วราชสีห์ก็พาสุนัขจิ้งจอกไปยังถ้ำทอง ตั้งแต่นั้นมา สุนัขจิ้งจอกก็ได้กินเดนราชสีห์ จนร่างกายที่ซูบผอมกลับมาอ้วนพี

อยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์นอนอยู่ในถ้ำ ได้บอกจิ้งจอกว่าให้ไปยืนบนยอดเขา แล้วมองลงไปถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ตัวใด ให้กลับมาบอก แล้วให้พูดว่า “นายท่าน เชิญท่านคำรามเถิด” ราชสีห์ จะไปฆ่าสัตว์นั้นมากิน แล้วแบ่งเนื้ออร่อยๆให้จิ้งจอกกินด้วย

สุนัขจิ้งจอกจึงขึ้นไปสู่ยอดเขา มองดูฝูงสัตว์นานาชนิด เมื่อนึกอยากกินเนื้อสัตว์ชนิดใด ก็เข้าไปสู่ถ้ำทองบอกแก่ราชสีห์ แล้วหมอบลงแทบเท้า กล่าวว่า “นายท่าน เชิญท่านคำรามเถิด” ราชสีห์ก็วิ่งไปโดยเร็ว ถึงแม้เป็นช้างตกมัน ก็ไม่มีทางรอดเงื้อมมือของราชสีห์ไปได้

นิทานชาดก โคธชาดก : กิ้งก่าเพื่อนรัก

นิทานชาดก โคธชาดก กิ้งก่าเพื่อนรัก

เหตุที่ตรัสชาดก โคธชาดก : ทรงปรารภภิกษุผู้คบหาพระที่ไปเข้ากับฝ่ายพระเทวทัต

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี

พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพญาเหี้ย ปกครองบริวารหลายร้อย อาศัยอยู่ในโพรงใหญ่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ ลูกชายของพระโพธิสัตว์ชื่อว่า โคธปิลลิกะ ได้ไปเล่นกับกิ้งก่าอยู่เสมอ ลูกพญาเหี้ยมักจะเย้าหยอกกิ้งก่าด้วยการขึ้นไปทับบนหลัง ด้วยคิดว่าจะกอดกิ้งก่า

ฝูงเหี้ยบริวารได้เล่าถึงความสนิทสนมของโคธปิลลิกะ กับกิ้งก่าให้พญาเหี้ยฟัง พญาเหี้ยจึงเรียกลูกชายมาสั่งสอนว่า ไม่ควรไปคบกับกิ้งก่า หากยังสนิทสนมกันแบบนี้ สกุลเหี้ยทั้งหลายจะต้องพินาศเพราะกิ้งก่าตัวนี้อย่างแน่นอน

แต่โคธปิลลิกะก็มิได้เชื่อพ่อ ยังคงออกไปเล่นกับกิ้งก่าอยู่เช่นเดิม

พญาเหี้ยเห็นดังนั้นก็คิดว่าคงห้ามลูกไม่ได้ อย่างไรเสียเราควรจะต้องคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน ด้วยการให้บริวารช่วยกันทำปล่องลมไว้ข้างหนึ่งของโพรงเหี้ย

เวลาผ่านไป โคธปิลลิกะ มีร่างกายใหญ่ขึ้นตามลำดับ ในขณะที่กิ้งก่ายังตัวเท่าเดิม โคธปิลลิกะยังคงเล่นเหมือนตอนเด็กๆด้วยการโถมทับกิ้งก่าอยู่เรื่อยๆ กิ้งก่าทนไม่ไหวเพราะรู้สึกเหมือนโดนภูเขาหล่นทับ มับคิดว่าหากโดนทับแบบนี้สัก2-3 วัน มันต้องตายแน่ๆ มันจึงคิดกำจัดเหี้ยให้สิ้นซาก

วันหนึ่งในฤดูแล้ง มีฝนตกลงมา ฝูงแมลงเม่าพากันบินออกจากจอมปลวก ฝูงเหี้ยพากันออกมากินแมลงเม่า นายพรานล่าเหี้ยเดินถือจอบออกไปกับฝูงหมาป่าเพื่อขุดโพรงเหี้ย

กิ้งก่าเห็นแล้วจึงคิดวิธีจะกำจัดเหี้ย จึงเข้าไปคุยกับนายพราน