นิทานชาดก จุลลกเศรษฐีชาดก : ซากหนูสร้างเศรษฐี

หตุที่ตรัสชาดก จุลลกเศรษฐีชาดก : ทรงปรารภการบรรลุธรรมของพระจุลลปันถก ซึ่งได้เรียนพระคาถาถึง 4 เดือนจากพระพี่ชาย (พระมหาปันถก) ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ได้เรียนธรรมะจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงวันเดียวก็บรรลุธรรมได้อย่างง่ายดาย

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี

มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า จุลลกเศรษฐี  ซึ่งนอกจากจะมีทรัพย์สมบัติมากแล้ว ยังฉลาดรอบรู้ในเรื่องนิมิตดีร้ายอย่างดีอีกด้วย

วันหนึ่งเขาไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินกับคนรับใช้ที่ชื่อ จูฬันเตวาสิก ในระหว่างทาง ท่านเศรษฐีได้เห็นหนูตายตัวหนึ่ง ที่ข้างถนน จึงตรวจดูฤกษ์ผานาที แล้วพูดขึ้นว่า

“ถ้าใครมีปัญญา หนูตัวนี้จะทำให้เขาเป็นเศรษฐีได้ในไม่ช้า” 

นายจูฬันเตวาสิกได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า ท่านเศรษฐีนี้ ถ้าไม่รู้จริงจะไม่พูดเลย ดังนั้นเขาจึงเก็บหนูตายตัวนั้นมา แล้วนั่งคิดว่าจะเอาไปทำอะไร ก็พอดีมีคนเลี้ยงแมวเดินผ่านมา เขาจึงบอกขายหนูตายตัวนี้ให้กับหญิงเลี้ยงแมว

“เจ้าจะขายเท่าไรล่ะ หนูตายของเจ้าน่ะ”

“แล้วแต่พี่สาวถอะจ้ะ” นายจูฬันเตวาสิกตอบอย่างนอบน้อม

“งั้นฉันซื้อ 1 กากณึก ก็แล้วกัน” หญิงเลี้ยงแมวเสนอ

“ได้จ้ะ” นายจูฬันเตวาสิก รับเงินมาด้วยความดีใจ มันขายได้จริงๆ ด้วย

เมื่อได้เงินมา 1 กากณึกแล้ว แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนน้อยนิด เขาก็ไม่ได้ย่อท้อ เขานำเงินนั้นไปซื้อน้ำอ้อย และตักน้ำใส่หม้อไปไว้แจกให้กับคนเก็บดอกไม้ของวังหลวง เหล่าคนเก็บดอกไม้กำลังเหนื่อยๆ เมื่อได้กินน้ำอ้อย และได้ดื่มน้ำของนายจูฬันเตวาสิก ก็นึกชอบใจ และให้ดอกไม้แก่เขาคนละกำมือ เป็นการตอบแทน

นายจูฬันเตวาสิกได้นำดอกไม้นั้นไปขาย แล้วก็นำเงินที่ได้จากการขายดอกไม้ไปซื้อน้ำอ้อย และตักน้ำใส่หม้อมารอแจกเหล่าคนเก็บดอกไม้อีก เขาทำแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง ก็รวบรวมเงินได้ถึง 8 กหาปณะ

อยู่มาวันหนึ่ง ลมพายุใหญ่ได้พัดต้นไม้ในอุทยานโค่นลงเป็นอันมาก คนเฝ้าอุทยานไม่รู้จะขนเศษกิ่งไม้พวกนี้ไปไว้ไหน เมื่อนายจูฬันเตวาสิกเห็นจึงเข้าไปทักทาย

“พี่ชาย ฉันขอเศษกิ่งไม้ใบไม้พวกนี้เถอะนะ ฉันจะรับผิดชอบเก็บให้สะอาดเลย”

“เอาสิ ฉันก็กำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการพวกเศษกิ่งไม้นี้ยังไง” คนเฝ้าอุทยานรีบตอบด้วยความยินดี

เจ้าหนุ่มจูฬันเตวาสิก จึงจัดแจงซื้อน้ำอ้อยแจกเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่แล้วขอให้พวกเด็กๆ ช่วยกันขนเศษกิ่งไม้ เด็กๆ นึกสนุกอยู่แล้ว อีกครู่เดียวเศษกิ่งไม้ใบไม้เหล่านั้นก็มากองอยู่ที่หน้าประตูอุทยานเรียบร้อย

พอดีว่าช่างหม้อหลวงกำลังเดินหาเศษไม้เพื่อไปไว้ใช้ทำฟืนผ่านมาเห็นเข้า จึงขอซื้อเศษกิ่งไม้พวกนั้นทั้งหมดจากนายจูฬันเตวาสิก วันนั้นเขาจึงได้เงินถึง 16 กหาปณะ และตุ่มอีก 4 ตุ่ม จากการขายเศษไม้

เมื่อรวบรวมเงินได้ 24 กหาปณะแล้ว เขาก็คิดต่อว่า

… เราน่าจะตักน้ำใส่ตุ่ม ไว้บริการคนหาบหญ้า 500 คน ที่ตรงโน้น… เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็ไม่รอช้ารีบทำตามความคิดทันที

คนหาบหญ้ากำลังเหนื่อยๆ กลับออกมาได้ดื่มน้ำของนายจูฬันเตวาสิก ก็นึกขอบใจ แล้วบอกกับเขาว่า

“นี่ ไอ้น้อง ขอบใจมาก กลับมาเหนื่อยๆ ได้ดื่มน้ำเย็นๆ จากเจ้าแบบนี้ หากเจ้ามีอะไรให้พวกข้าช่วยก็บอกมาเลยนะ พวกข้ายินดีช่วยเหลือเจ้าเต็มที่”

“ขอบคุณมากครับพี่ชาย แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอะไรให้พี่ช่วยหรอก แต่ในกาลข้างหน้าฉันอาจต้องรบกวนพี่แน่นอน” นายจูฬันเตวาสิกกล่าวตอบ

“อื้ม ได้สิ มีอะไรก็ขอให้บอก ไม่ต้องเกรงใจเลย” คนหาบหญ้าพูดตอบอย่างใจดี แล้วก็เดินจากไป

นายจูฬันเตวาสิกบริการน้ำดื่มอยู่อย่างนี้ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ผูกมิตรกับคนทั้งหลายทั้งคนทางบกและคนทางน้ำ วันหนึ่งเขาได้ยินข่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีพ่อค้าม้า 500 ตัวเดินทางผ่านมา เขาจึงไปบอกกับคนหาบหญ้าทั้ง 500 คนว่า

“พี่ชาย วันนี้ฉันมีเรื่องมาให้ช่วยเหลือ ฉันขอหญ้าจากพี่ชายและเพื่อนๆ คนละ 1 กำได้ไหม”

“อ้อ เอาสิพวกเรายินดีให้เจ้า เป็นการตอบแทนที่เจ้าได้ตักน้ำมาคอยบริการพวกเรา” คนหาบหญ้าบอก

“และมีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะขอก็คือ ในวันพรุ่งนี้ถ้าฉันยังไม่ได้ขายหญ้า พวกพี่ก็อย่าเพิ่งขายนะครับ” นายจูฬันเตวาสิก บอกต่อ

“ก็ได้ ไม่มีปัญหา” คนหาบหญ้ารับคำแล้วพากันวางหญ้าคนละกำที่หน้าบ้านนายจูฬันเตวาสิก ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงมีหญ้าทั้งหมด 500 กำ

ในวันรุ่งขึ้นเมื่อพ่อค้าม้ามาถึง เขาเที่ยวหาซื้อหญ้าจากในหมู่บ้าน แต่ก็หาไม่ได้เลย จนกระทั่งได้มาถึงบ้านของนายจูฬันเตวาสิก พ่อค้าตกลงซื้อหญ้าทั้งหมดด้วยเงินหนึ่งพัน พลอยทำให้คนขายหญ้ารายอื่นๆ ขายหญ้าได้ในราคาที่สูงไปด้วย

จากนั้นอีก 2-3 วัน เพื่อนที่ทำงานทางน้ำบอกกับจูฬันเตวาสิกว่า จะมีเรือใหญ่มาจอดที่ท่าน้ำ เขาจึงออกอุบาย นำเงิน 8 กหาปณะ ไปเช่ารถพร้อมด้วยบริวาร จัดฉากให้เป็นคนรวยมีฐานะ แล้วนำแหวนวงหนึ่งไปมัดจำกับนายเรือเพื่อซื้อสินค้าทั้งหมด พร้อมกับสั่งคนไว้ว่าถ้ามีพ่อค้าจากที่อื่นมาเพื่อจะซื้อสินค้า ให้มาหาเขา ดังนั้นเมื่อพ่อค้าต่างๆ ได้ยินว่านายจูฬันเตวาสิกซื้อสินค้าไว้หมดแล้ว จึงพากันไปที่บ้านเขา แล้วต่อรองซื้อสินค้า ในที่สุด พ่อค้าประมาณ 100 คนนั้นก็ได้ร่วมหุ้นส่วนกับจูฬันเตวาสิก คนละ 1000 กหาปณะ และซื้อสินค้าอีก 1000 กหาปณะ เขาจึงขายสินค้าไปและได้กำไรทันที สองแสนกหาปณะ ในตอนนี้เขาก็ได้เป็นเศรษฐีจริงๆแล้ว

จูฬันเตวาสิกนึกถึงท่านจุลลกมหาเศรษฐีที่ชี้บอกทางให้จนเขามีวันนี้ จึงได้นำเงินหนึ่งแสนไปเพื่อจะตอบแทนคุณ

“นี่เจ้าหายไปไหนมา แล้วทำไมเจ้าดูเปลี่ยนไปอย่างนี้” ท่านจุลลกมหาเศรษฐีถาม

“กระผมได้ทำตามคำของท่าน เริ่มจากหนูตัวหนึ่งที่ตายอยู่ข้างทาง….” จูฬันเตวาสิกเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเศรษฐีฟัง ท่านเศรษฐีเมื่อได้ฟังแล้วก็นึกในใจว่า ..เจ้าหนุ่มคนนี้ฉลาดดีแท้ มีความวิริยะอุตสาหะ และมีความกตัญญู อนาคตไม่อับจนแน่… ท่านเศรษฐีจึงยกลูกสาวให้กับจูฬันเตวาสิกและมอบทรัพย์สมบัติให้ครอบครอง

ข้อคิดจากนิทานชาดก จุลลกเศรษฐีชาดก
คนมีปัญญา ย่อมตั้งตัวได้แม้มีเงินเพียงน้อยนิด และความวิริยะอุตสาหะของเขาเอง

ประชุมชาดก
จูฬันเตวาสิกในกาลนั้น ได้เกิดเป็น พระจุลลปันถก ในบัดนี้

จุลลกมหาเศรษฐีในกาลนั้น ได้เกิดเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


นิทานชาดก จุลลกเศรษฐีชาดก