นิทานชาดก ปัญจาวุธชาดก : กุมารหัวร้อน สู้กับยักษ์ขนเหนียว

นิทานชาดก ปัญจาวุธชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก ปัญจาวุธชาดก : เมื่อพระพุทธเจ้าได้ยินว่าภิกษุรูปหนึ่งมีความเพียรย่อหย่อน จึงทรงเรียกมาถามว่าจริงหรือไม่ พระภิกษุนั้นตอบว่าจริง พระพุทธองค์จึงได้ตรัสให้กำลังใจว่า แม้ในอดีตบัณฑิตทั้งหลายได้ทำความเพียรในที่อันสมควรก็สามารถบรรลุถึงราชสมบัติได้ แล้วจึงนำเรื่องในอดีตมาเล่า

ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

พระองค์มีพระโอรสองค์หนึ่ง นามว่า “ปัญญาวุธกุมาร” เมื่อพระโอรสเจริญวัยขึ้น พระองค์ได้ส่งไปศึกษาศิลปวิทยา ณ กรุงตักศิลา

พระราชกุมารศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยา ที่เมืองตักศิลา เป็นเวลาหลายปี จนจบหลักสูตร อาจารย์ได้มอบอาวุธ 5 ชนิดด้วยกันคือ พระขรรค์ ธนู หอก ขวาน และตะบอง เป็นอาวุธประจำกาย เมื่อกราบลาพระอาจารย์แล้วพระองค์จึงเดินทางเพื่อเสด็จกลับยังพระนคร ในระหว่างทาง พระองค์ต้องผ่านป่าซึ่งเป็นที่อยู่ของยักษ์ดุร้ายตนหนึ่งชื่อว่า “สิเลสโลม” ชาวบ้านเห็นพระกุมารก็พากันห้าม

“พระโอรส อย่าเข้าไปในป่านี้เลย ในนั้นมียักษ์ร้ายกาจอาศัยอยู่ มันกินมนุษย์เป็นอาหาร”

“ไม่เป็นไร เราคือใคร พวกท่านไม่รู้รึ หึหึ”  ปัญญาวุธกุมาร ยังมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะผ่านป่านี้ไปให้ได้ ว่าแล้วก็เดินอย่างองอาจเข้าไปในป่า

ส่วนเจ้ายักษ์ร้ายพอเห็นเด็กหนุ่มเดินมาคนเดียวก็แปลงกายให้ตัวสูงใหญ่เท่าต้นตาล มีศีรษะเท่าปราสาท นัยน์ตาแต่ละข้างขนาดเท่าล้อเกวียน เขียวทั้งสองใหญ่ขนาดเท่าหัวปลีตูมงอกออกจากปาก หน้าขาว ท้องด่าง มือเท้าเขียว แล้วร้องว่า

“เจ้าหนุ่ม! เจ้าจะไปไหน เจ้าต้องเป็นอาหารของข้า”

“เฮ้ย ไอ้ยักษ์ เราไม่กลัวเจ้าหรอก เราเตรียมตัวมาแล้วจึงเข้ามาที่นี่ ถ้าเจ้าไม่อยากตาย จงถอยไป” พระกุมารตวาด แล้วยิงธนูด้วยลูกศรอาบยาพิษไปที่ยักษ์ตนนั้น แต่แทนที่ลูกศรจะไปเสียบทะลุหน้าอกหรือเนื้อตัวของยักษ์ กลับไปติดที่ขนของมันเสียสิ้น พระกุมารปล่อยลูกศรไปติดๆ กัน ก็ไปติดที่ขนของมันทั้งหมด

ยักษ์สลัดลูกศรทั้งหมดให้ตกลงที่เท้าของมันแล้วเดินตรงรี่เข้ามา

“เฮ้ย! ถอยไป ไม่งั้นเราจะเอาดาบนี่ฟันแกให้ขาดสองท่อนทีเดียว” พระกุมารตวาดต่อ แล้วชัดพระขรรค์ออกฟัน พระขรรค์ก็ไปติดที่ขนมันอีก แทงด้วยหอก หอกก็ไปติดที่ขนมันอีก ฟันด้วยขวาน ตีด้วยตะบอง ทั้งขวานและตะบองก็ไปติดขนมันอีกนั่นแหละ

“บ๊ะ! ขนเอ็งเหนียวจริงโว้ย!” พระกุมารร้อง แต่ยังไม่ละความพยายาม หรือแสดงอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย เมื่อไม่มีอาวุธอยู่ในมือแล้ว พระกุมารจึงโถมเข้าต่อยด้วยมือข้างขวา มือข้างขวาก็ติดขน ต่อยด้วยมือซ้าย มือซ้ายก็ติดอีก เตะด้วยเท้าขวา เท้าขวาก็ติด เตะด้วยเท้าซ้าย เท้าซ้ายก็ติด คิดว่า ต้องกระแทกให้มันแหลกด้วยศีรษะ แล้วก็กระแทกด้วยศีรษะ แม้ศีรษะก็ไปติดที่ขนของมันเหมือนกัน

แม้ร่างกายจะถูกตรึงห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้น พระกุมารก็ไม่สะทกสะท้านเลย ยักษ์จึงคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดา

“นี่เจ้าไม่กลัวตายเลยรึ” ยักษ์ถาม

“ทำไมจะต้องกลัว ยังไงคนเราก็ต้องตายอยู่แล้ว อีกอย่าง เรามีวชิราวุธอยู่ในท้อง เจ้ารู้จักไหมวชิราวุธน่ะ” พระโอรสถามยักษ์บ้าง

“วชิราวุธ…อาวุธของพระอินทร์น่ะรึ”

“จะว่างั้นก็ได้ ถ้าเจ้ากินเราเข้าไป อาวุธนั้นก็ต้องบาดไส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยังไงเสีย เราก็ตายด้วยกัน” พระโอรสขู่

เมื่อยักษ์ได้ยินดังนั้นก็กลัวหัวหดเลยทีเดียว

“เอาละๆ ข้าจะปล่อยเจ้า ไม่อยากกินเจ้าแล้ว” เจ้ายักษ์ว่าพร้อมกับเนรมิตกายให้เหลือเท่ามนุษย์แล้วปล่อยพระกุมาร

ปัญญาวุธกุมารเมื่อได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระและได้รับอาวุธทั้งห้ากลับมา ก็ขอบอกขอบใจยักษ์เป็นการใหญ่ พร้อมกับได้สั่งสอนให้มันตั้งอยู่ใน ศีล 5 ตลอดชีวิต เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองพาราณสีโดยปลอดภัย

 

ข้อคิดจากชาดก : ปัญจาวุธชาดก
เมื่อเข้าที่คับขันอันตราย จงตั้งสติให้มั่นแล้วใช้ปัญญาคิดหาทางเอาตัวรอด พร้อมกับความกล้าหาญที่มีอยู่ในตัวเอง อย่างไรเสียก็จะผ่านพ้นวิกฤติไปได้

ประชุมชาดก
ยักษ์ ได้เกิดเป็น พระองคุลิมาล

ปัญจาวุธกุมาร ได้เกิดเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นิทานชาดก ปัญจาวุธชาดก