Tag Archives: นิทานชาดก

นิทานชาดก สุหนุชาดก : ร้ายกับร้ายเจอกัน จะไม่ทำร้ายกัน

สุหนุชาดก

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า นิทานชาดก สุหนุชาดก : ได้พูดถึงพระภิกษุ 2 รูปที่เป็นคนดุร้ายอยู่กับใครก็ไม่ได้ แต่เมื่อทั้ง 2 มาเจอกันก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระองค์มีอำมาตย์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ซื้อม้าที่มีความยุติธรรมอยู่คนหนึ่ง อำมาตย์คนนี้ได้ซื้อม้าจากพ่อค้าในราคาอันสมควร

ต่อมาพระราชาเห็นว่า เป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์เกินไป เพราะราคาม้าก็ไม่ใช่น้อย จึงให้คนเก่าพ้นจากหน้าที่ แล้วทรงแต่งตั้งให้อำมาตย์คนใหม่เข้ามาทำแทน โดยทรงบอกอุบายแก่อำมาตย์คนใหม่ว่า

“เมื่อพ่อค้านำม้ามาขาย เจ้าจงปล่อยม้าที่ชื่อมหาโสณะ ตัวดุร้าย  ออกไปกัดม้าพวกนั้นให้เป็นแผลเสียก่อน แล้วค่อยตกลงซื้อม้ากัน เจ้าจะได้ต่อราคา ซื้อม้าได้ในราคาที่ถูกลง”

อำมาตย์คนใหม่ก็ทำตาม พวกพ่อค้าก็ต้องจำยอม ต้องยอมขายม้าให้กับวังในราคาที่ถูกมาก แล้วนำเรื่องไปบอกอำมาตย์คนเก่า

“พวกเราแย่แล้วล่ะท่าน อุตส่าห์เลี้ยงม้ามาเป็นอย่างดี ม้าเราก็แข็งแรงล่ำสัน ต้องมาโดนอุบายของพระราชา ให้เจ้าม้ามหาโสณะตัวร้ายมันมากัดม้าของเรา พอม้าพวกเราบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ก็ซื้อม้าในราคาที่ถูกเกินไป จนพวกเราขาดทุนกันย่อยยับ เห้อ แย่จริงๆ พวกเราจะทำยังไงกันดี”

“แล้วพวกท่านมีม้าตัวดุร้ายบ้างหรือเปล่าละ”  อำมาตย์คนเก่าถาม

“มีครับมี มันชื่อสุหนุ มีนิสัยก้าวร้าว ดุร้ายมาก ม้าตัวอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เลย” พวกพ่อค้าตอบ

“ถ้างั้นเอางี้นะ  คราวหน้าเมื่อพวกท่านมาขายม้า ก็ให้พาม้าสุหนุมาด้วย”

“ท่านจะให้ม้ามันมาสู้กันเหรอ” พ่อค้าม้าตะโกนถามด้วยความตกใจ

“เอาเถอะน่า เชื่อเราเถอะ มันไม่สู้กันถึงตายหรอก”  อำมาตย์คนเก่ามีแผนในใจ

 

ครั้งต่อมา เมื่อพ่อค้านำม้ามาขายก็ได้พาม้าสุหนุมาด้วย อำมาตย์เจ้าหน้าที่ซื้อม้าของพระราชา จึงปล่อยม้า มหาโสณะออกไป เพื่อให้มันกัดม้าของพวกพ่อค้าเหมือนเดิม

พวกพ่อค้ารู้ทันจึงทำตามแผนโดยการปล่อยม้าสุหนุเข้าไป พวกเขาหวังจะเห็นม้าดุร้ายทั้งสองตัวสู้กัน แต่กลายเป็นว่า ม้าทั้งสองกลับทำตัวเรียบร้อย ต่างก็เลียร่างกายให้กัน เหมือนรู้จักกันมานาน

คุณชาดก : ราชสีห์เกือบตาย รอดมาได้เพราะจิ้งจอก

คุณชาดก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า คุณชาดก : ได้พูดถึงคุณธรรมของพระอานนท์ ที่มีความกตัญญูกตเวทีคือรู้คุณและตอบแทนคุณพระภิกษุผู้มีอุปการะแก่ตน

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนยอดเขา ด้านล่างเขาลูกนั้น มีสระน้ำใหญ่และทุ่งหญ้าเขียวขจี เป็นที่หาอาหารของสัตว์ต่างๆ

ในวันนั้นเองมีกวางตัวหนึ่งกำลังเล็มหญ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย ราชสีห์มองลงมาจากบนยอดเขา คิดจะจับกวางตัวนั้นกิน จึงกระโดดลงจากยอดเขา แล้ววิ่งไปด้วยความเร็ว 

เจ้ากวางกลัวตายจึงส่งเสียงร้องแล้วก็รีบวิ่งหนีสุดชีวิต กวางตัวนั้นรอด  ส่วนราชสีห์เบรคไม่ทัน จึงลื่น สไลด์ตกลงไปในแอ่งโคลนตม ใกล้ๆสระใหญ่

แม้จะพยายามออกแรงยังไง ก็ไม่สามารถขึ้นมาจากหล่มนั้นได้ จึงได้แต่ยืนปักเท้าทั้ง 4 อยู่ที่โคลนตมนั้น อดอาหารอยู่ถึง 7 วัน 

ต่อมาในวันที่ 8 มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินเที่ยวหาอาหาร เมื่อเห็นราชสีห์ก็หนีไปด้วยความกลัว ราชสีห์เห็นสุนัขจิ้งจอกก็ร้องเรียกแล้วพูดว่า

“เจ้าจิ้งจอกกลับมาก่อน เจ้าอย่าเพิ่งหนีไป ข้าติดอยู่ที่นี่มา 7 วันแล้ว ช่วยข้าด้วยเถอะ”

สุนัขจิ้งจอกตะโกนกลับไปว่า

“ข้าก็อยากช่วยท่านอ่ะนะ แต่ถ้าท่านขึ้นมาได้ ท่านก็จะจับข้ากินน่ะสิ”

 

“เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้มีพระคุณหรอก ถ้าข้าขึ้นไปได้ จะตอบแทนคุณเจ้าอย่างสาสม”

“เอ ทำไมมันฟังดูแปลกๆล่ะ เอาๆ ข้าช่วยเจ้าก็ได้”

เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัดสินใจช่วยชีวิตราชสีห์  เพราะมั่นใจว่าราชสีห์เป็นสัตว์ที่พูดคำไหนคำนั้น  ไม่เคยปลิ้นปล้อนหลอกลวง

มันก็เลยวิ่งเข้าไปตะกุยดินรอบเท้าทั้ง 4 ของราชสีห์ ขุดให้เป็นลำลางเล็กๆ เพื่อให้น้ำในสระข้างๆ ไหลเข้าไปได้  เมื่อน้ำไหลเข้าไปทำให้โตลนอ่อนตัว ราชสีห์ก็ขยับเท้าได้ 

อุรคชาดก : พญาครุฑผู้มีคุณธรรม ไม่ขย้ำพญานาค

อุรคชาดก

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า อุรคชาดก : มีอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระเจ้าโกศล ที่เจอหน้ากันทีไร ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตทุกครั้งไป พระพุทธเจ้าจึงได้วางกุศโลบายให้ทั้งสองปรองดองกัน โดยท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านของอำมาตย์คนแรกแล้วก็เทศน์จนอำมาตย์คนแรกบรรลุธรรม จากนั้นจึงให้เขาช่วยถือบาตรให้พระองค์เพื่อจะไปบิณฑบาตต่อที่บ้านของอำมาตย์อีกคนที่เคยเป็นคู่วิวาทกัน เมื่อไปถึง อำมาตย์คนที่ 2 ก็ได้นิมนต์พระศาสดาให้เข้าไปในบ้าน แล้วก็มีอำมาตย์คนแรกตามเข้าไปด้วย พระพุทธเจ้าได้เทศน์อานิสงส์แห่งการเจริญเมตตาและเรื่องอริยสัจ 4 จนอำมาตย์คนที่ 2 ก็บรรลุธรรมเช่นเดียวกับอำมาตย์คนแรก อำมาตย์ทั้ง 2 คนต่างก็ขอขมาซึ่งกันและกัน และไม่ทะเลาะกันอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กาลครั้งหนึ่ง เพื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี วันหนึ่งมีการจัดงานมหรสพใหญ่ที่กลางเมือง ชาวเมืองต่างก็มาเที่ยวเล่นในงานเป็นจำนวนมาก นอกจากมนุษย์แล้ว ก็ยังมีเทวนาค นาค และครุฑ แปลงตัวเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่นในงานด้วย และในมุมหนึ่งของงาน มีพญาครุฑที่แปลงกายเป็นมนุษย์กำลังยืนดูการแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน ขณะนั้นเอง นายพญานาคแปลงก็เดินมาดูการแสดงที่เวทีนั้นด้วยเหมือนกัน  โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า คือพญาครุฑผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจ  เพราะอาหารของพญาครุฑก็คือพญานาค พญานาคผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บังเอิญเอามือไปแตะเข้าที่บ่าของพญาครุฑ ที่อยู่ด้านหน้า พญาครุฑสงสัย ว่าใครกันนะ บังอาจเอามือมาแตะบ่าเรา ก็เลยหันขวับไปมอง เมื่อสองสายตาประสานกัน  พญาครุฑก็รู้ว่าคนที่เอามือมาแตะบ่าตน คือพญานาค แล้วพญานาคก็รู้อีกเหมือนกันว่าแววตาดุดันคู่ข้างหน้านั้นคือพญาครุฑ

 

พญานาคไม่รอช้า รีบวิ่งหนีสุดชีวิต พญาครุฑก็ไม่รอเหมือนกัน รีบวิ่งตามไปติดๆ หวังจะจับพญานาคมากินเป็นอาหารมื้อค่ำให้ได้

ตัดภาพมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากงานมหรสพ  มีพระฤาษีองค์หนึ่ง พักอยู่ที่บรรณศาลา ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น  และในตอนนั้นท่านได้ลงไปอาบน้ำในลำธารและวางผ้าอาบน้ำไว้ที่ริมฝั่ง

พญานาควิ่งมาถึง เห็นผ้าของพระฤาษีกองอยู่ ก็เลยคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า 

นิทานชาดก สิคาลชาดก : ราชสีห์วิ่งชนถ้ำ

นิทานชาดก สิคาลชาดก ราชสีห์วิ่งชนถ้ำ สุนัขจิ้งจอก

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสชาดก สิคาลชาดก : ทรงปรารภลูกชายของช่างตัดผมที่ตรอมใจตายเพราะไปหลงรักธิดากษัตริย์แห่งเจ้าลิจฉวี

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี

มีครอบครัวราชสีห์พี่น้อง ประกอบด้วย พี่ชาย 7 ตัว และน้องสาว 1 ตัว อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองในป่าหิมพานต์ และไม่ไกลจากที่นั้นก็ยังมีถ้ำแก้วผลึกใส และมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำแก้วนั้น

ต่อมา เมื่อพ่อแม่ของราชสีห์ทั้ง 8 ได้ตายลง พี่ชายทั้ง 7 จึงให้น้องสาวนอนอยู่ในถ้ำทองนั้น แล้วตัวเองมีหน้าที่ออกไปหาอาหาร เมื่อได้อาหารมาก็จะนำมาแบ่งให้น้องสาวกิน

สุนัขจิ้งจอกหลงรักราชสีห์สาวสวยมานานแต่ไม่มีโอกาสเข้าไปหา จนกระทั่งพ่อแม่ของรายสีห์ได้ตายลง และในเวลาที่พี่ชายทั้ง 7 ออกไปหาอาหาร มันจึงได้เข้าไปหานางราชสีห์สาว แล้วพูดจาเกี้ยวพาราสี ว่า “นี่แน่ะ แม่ราชสีห์ เราเป็นสัตว์สี่เท้า เจ้าก็เป็นสัตว์สี่เท้าเหมือนกัน เจ้าจงมาเป็นภรรยาเรา เราจะเป็นสามีเจ้า และเราจะอยู่ด้วยกันอย่างบันเทิงใจ”

นางราชสีห์ ไม่ตอบอันใด ได้แต่คิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์เลวทราม เทียบได้กับจัณฑาลในหมู่สัตว์ทั้งหลาย บังอาจมาเทียบชั้นกับราชสีห์ผู้สูงส่งอย่างเรา แถมยังมาพูดจาหยาบคาย เราจะทนไปไย กลั้นใจตายไปเสียดีกว่า แต่แล้วนางราชสีห์ก็กลับคิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายทั้ง 7 ฟังก่อนแล้วค่อยตายก็ยังไม่สาย

ฝ่ายสุนัขจิ้งจอก เมื่อไม่ได้คำตอบจากนางราชสีห์ ก็คิดว่า นางไม่มีเยื่อใยในเราเสียแล้ว เสียใจกลับเข้าไปนอนในถ้ำแก้วผลึกของตน

 

ราชสีห์พี่ชายตัวที่1 กลับมาพร้อมอาหารชิ้นโตที่เพิ่งล่ามาได้ นำมาให้น้อง นางราชสีห์จึงฟ้องพี่ชายถึงเรื่องสุนัขจิ้งจอก ฝ่ายพีชายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถามน้องว่า

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน พี่จะไปฆ่ามัน”

“มันนอนอยู่ในอากาศ ใกล้เชิงเขาลูกโน้นแน่ะพี่” นางราชสีห์ตอบด้วยความใสซื่อ เพราะเห็นสุนัขจิ้งจอกนอนอยู่ในอากาศจริงๆ

นิทานชาดก โคธชาดก : ฤาษีอยากกินเหี้ย

นิทานชาดก โคธชาดก : ฤาษีอยากกินเหี้ย

เหตุที่ตรัสชาดก โคธชาดก : ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี

พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นเหี้ย อาศัยอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่งใกล้กับอาศรมของฤาษีผู้สำเร็จอภิญญา ชาวบ้านช่วยกันบำรุงพระดาบสนั้นด้วยความเคารพ เจ้าเหี้ยก็ได้ไปฟังธรรมจากท่านวันละ 3 เวลาด้วยเช่นกัน

ต่อมา พระดาบสได้อำลาชาวบ้านเพื่อจะเดินทางไปอาศัยอยู่ตำบลอื่น ผ่านมาไม่นานก็มีฤาษีจอมโกงมาอาศัยอยู่แทน ชาวบ้านและเจ้าเหี้ยก็เข้าใจว่าฤาษีผู้นี้เป็นผู้มีศีล ผู้ปฏิบัติดี

อยู่มาวันหนึ่งในฤดูแล้ง มีฝนตกลงมาทำให้ฝูงแมลงเม่าออกมาจากจอมปลวก ฝูงเหี้ยก็พากันออกมาหากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านก็ออกจับเหี้ยเอามาปรุงอาหาร จัดทำเป็นเนื้อส้ม รุ่งเช้าจึงเอามาถวายพระฤาษี

ฤาษีฉันเนื้อส้มนั้นแล้วก็ติดใจ จึงถามชาวบ้านว่านี่มันเนื้ออะไร พอรู้ว่าเป็นเนื้อเหี้่ย จึงคิดในใจว่า ปกติก็มีเหี้ยตัวหนึ่งชอบเข้ามาในสำนักของเรา เราจะฆ่าเพื่อจะกินเนื้อมันให้ได้ จึงสั่งให้คนขนภาชนะสำหรับต้มแกงและเครื่องปรุงต่างๆมาวางไว้ข้างหนึ่ง ส่วนตัวเองได้ถือค้อนไม้ซ่อนไว้ด้วยผ้าห่ม แล้วนั่งรอคอยการมาของเจ้าเหี้ยอย่างสงบเสงี่ยม

นิทานชาดก กูฏวาณิชชาดก : เทวดาโกงกับคนฉลาด

นิทานชาดก กูฏวาณิชชาดก

เหตุที่พระพุทธเจ้าตรัส นิทานชาดก กูฏวาณิชชาดก : ทรงปรารภพ่อค้าโกงคนหนึ่ง

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในนครพาราณสี

มีพ่อค้า 2 คน ชื่อว่าบัณฑิตและอติบัณฑิต ร่วมกันทำการค้าโดยชวนกันบรรทุกสินค้าใส่เกวียน 500 เล่ม ออกไปขายในชนบท เมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็พากันเดินทางกลับสู่กรุงพาราณสี

ครั้งถึงเวลาที่จะแบ่งกำไรในการค้าขาย พ่อค้าอติบัณฑิตพูดขึ้นว่า

นี่เพื่อน เราว่าเราควรได้กำไร 2 ส่วน”

ทำไมล่ะ” พ่อค้าที่ชื่อบัณฑิตถาม

ก็เพราะว่าเราชื่ออติบัณฑิต ที่แปลว่าเหนือกว่าบัณฑิตไง ดังนั้นเราควรได้ 2 ส่วน นายเอาไปส่วนเดียว” อติบัณฑิตตอบหน้าตาเฉย

เฮ้ย จะเป็นงั้นได้ไงเล่า เราลงทุนเท่ากันก็ควรจะแบ่งเท่าๆกันสิ นายจะได้มากกว่าได้ยังไง” พ่อค้าบัณฑิตไม่ยอม

 

ก็บอกแล้วว่าเราชื่อ อติบัณฑิต เราต้องได้สองส่วน” อติบัณฑิตยังคงยืนกราน

นิทานชาดก มกสชาดก : ตบยุงจนคนตาย

มสกชาดก

เหตุที่ตรัส มสกชาดก : ทรงปรารภชาวบ้านที่ถือธนูและอาวุธตั้งใจจะไปฆ่ายุง แต่กลับเล็งผิดกลายเป็นฆ่ากันเอง

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

ครั้งนั้นที่บ้านชายแดนแห่งหนึ่งในแคว้นกาสี มีหมู่บ้านช่างไม้ตั้งอยู่ที่นั่น

วันหนึ่งช่างไม้หัวล้านคนหนึ่งกำลังตากไม้ ขณะเดียวกันก็มียุงบินมากัดที่หัว เขาจึงเรียกลูกชายให้มาฆ่ายุง

 

ลูกชายที่อยู่ใกล้ๆ จึงบอกให้พ่ออยู่นิ่งๆ เขาจะฆ่ายุง พร้อมกับเงื้อขวานเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือ ฟังลงมาเต็มที่ ที่หัวของพ่อ ด้วยคิดว่าจะฆ่ายุง เลยผ่าสมองของพ่อแตกเป็น 2 ซีก ช่างไม้ผู้เป็นพ่อ ถึงแก่ความตายในทันที

พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งในร้านช่างไม้ที่กำลังหาสินค้าไปขายได้เห็นการกระทำนั้นจึงกล่าวว่า “มีศัตรูผู้ฉลาด ยังดีกว่ามีมิตรโง่” เพราะศัตรูที่ฉลาดจะทำให้เราต้องพัฒนาขึ้น แต่มีมิตรโง่ มีแต่จะทำให้เราเสื่อมลง

นิทานชาดก สุวรรณหังสชาดก : หงส์ทองถูกถอนขน

สุวรรณหังสชาดก

เหตุที่ตรัส สุวรรณหังสชาดก : ทรงปรารภภิกษุณี ชื่อ ถุลลนันทา ที่ไปขนกระเทียมที่บ้านเจ้าภาพอย่างไม่รู้ประมาณ

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในนครพาราณสี

มีพราหมณ์คนหนึ่ง มีลูกสาว3 คน ชื่อ นางนันทา นางนันทวดีและนางสุนันทา ต่อมาได้แต่งงานและไปอยู่กินบ้านสามี ส่วนพราหมณ์ผู้บิดาก็ตายไปเกิดเป็นหงส์ทอง

หงส์ทองตัวนั้น เมื่อเติบโตมาก็ระลึกชาติได้ จึงนึกถึงภรรยาและลูกสาวเห็นว่าต้องเลี้ยงชีพด้วยความแร้นแค้นจึงคิดจะสงเคราะห์ด้วยการให้ขนทองคำของตนไว้ครั้งละ 1 ขน เพื่อคนทั้งสี่ จะได้อยู่กันอย่างสุขสบาย

พญาหงส์ทองจึงบินไปที่บ้าน ภรรยาเขาเห็นเข้าจึงเอ่ยถาม

พ่อคุณ เจ้ามาจากไหนกันเล่า”’

 

เราคือสามีของเจ้าที่ตายไป ได้มาเกิดเป็นหงส์ทองอยู่ที่ป่าหิมพานต์ และเห็นว่าพวกเจ้าอยู่กันอย่างลำบาก เราจะให้ขนทองคำของเราแก่พวกเจ้า เอาไปขายเป็นการเลี้ยงชีพ” ว่าแล้วเจ้าหงส์ทองก็สลัดขนของตนไว้

นางพราหมณีและลูกสาวได้เอาขนทองคำนั้นไปจำหน่ายขายกินเลี้ยงชีวิตให้ดีขึ้นโดยลำดับ ส่วนหงส์ทองก็ไปมาหาสู่อยู่เรื่อยๆ และสลัดขนทิ้งไว้ให้ทุกครั้ง

วันหนึ่งนางพราหมณีปรึกษากับลูกๆว่า

นิทานชาดก สาลิตตกชาดก : ดีดขี้แพะเข้าปาก แก้คนพูดมากได้ชะงัด

สาลิตตกชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก สาลิตตกชาดก : ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงษ์ด้วยการดีดกรวด

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในนครพาราณสี

มีคนง่อยเปลี้ยคนหนึ่งชำนาญในการดีดกรวด พวกเด็กชาวบ้านให้เขาดีดกรวดทำใบไม้เป็นรูปต่างๆ ที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง โดยให้ค่าจ้างคนละเล็กละน้อยตามประสา

วันนั้นพระเจ้าพรหมทัต เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ได้เสด็จผ่านมายังที่นั้นพวกเด็กๆเห็นเข้าก็กลัว พากันวิ่งหนีไป ทิ้งบุรุษง่อยเปลี้ยไว้แต่ผู้เดียว

เมื่อพระราชาเสด็จไปถึง ได้ทอดพระเนตรเห็นใบไม้เป็นรูปสัตว์ต่างๆเต็มไปหมด จึงรับสั่งถามขึ้นด้วยความสนพระทัย

ใครเป็นคนทำนี่?”

บุรุษเปลี้ยคนหนึ่งเป็นผู้กระทำพระเจ้าข้า” ราชองครักษ์ตอบ

แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะ” พระราชาถามต่อ

นายทหารจึงพากันค้นหาแล้วพาตัวไปเฝ้าพระราชา

เจ้าเป็นคนทำเองรึนี่” พระราชาตรัสถามอีกครั้ง

พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเป็นคนทำ” คนง่อยทูลตอบ

อืมเจ้าสามารถทำให้ปุโรหิตปากมากของข้า เลิกพูดมากได้ไหม” พระราชาถามต่อ 

นิทานชาดก มังคลชาดก : หนูกัดผ้าหายนะจะมาเยือน

นิทานชาดก มังคลชาดก หนูกัดผ้า

เหตุที่ตรัสชาดก มังคลชาดก : ทรงปรารภพราหมณ์ชาวพระนครราชคฤห์ผู้หนึ่งที่เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อถือเรื่องโชคลาง

ในเมืองราชคฤห์ มีฤาษีองค์หนึ่งเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติ มาพักอยู่ในพระราชอุทยานของพระราชา พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ไปฉันในพระราชวังทุกวัน

พราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าทุสสลักขณพราหมณ์ เป็นผู้ถือมงคล ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีทรัพย์มาก เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จแล้วสั่งให้คนไปนำผ้าเนื้อดีที่เก็บไว้ในหีบมาให้

บ่าวคนหนึ่งวิ่งโร่มาบอก

แย่แล้วๆ ท่านพราหมณ์ มีหนูมากัดผ้าของท่านเป็นรูเบ่อเริ่มเลยขอรับ”

ตายแล้ว” พราหมณ์อุทานพร้อมกับหน้าซีด แล้วพูดเบาๆกับตัวเองว่า “หนูกัดผ้า เขาว่าจะเกิดพินาศใหญ่ ผ้าผืนนี้เป็นอวมงคล ใครนำไปใช้จะต้องมีอันเป็นไป” ว่าแล้วก็ตะโกนเรียกลูกชาย

ลูกพ่อ เอ็งมานี่เร็ว”

มีอะไรหรือพ่อ” ลูกชายถาม

เอ็งเอาผ้าผืนนี้ไปทิ้งที่ป่าช้าที มันเป็นเสนียด หนูกัดผ้าขาดเสียแล้ว” พราหมณ์บอกเสียงสั่น

ทำไมพ่อไม่ให้บ่าวมันเอาไปทิ้งล่ะ ใช้ฉันทำไม ฉันก็กลัวนะพ่อ” ลูกชายก็กลัวเหมือนกัน

บ่าวมันเห็นเป็นผ้าเนื้อดี เดี๋ยวมันแอบเอาไปใช้ เอ็งนั่นแหละเอาไปทิ้ง แต่อย่าไปจับโดนผ้าเป็นอันขาด” พราหมณ์สั่ง