อุรคชาดก : พญาครุฑผู้มีคุณธรรม ไม่ขย้ำพญานาค

อุรคชาดก

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า อุรคชาดก : มีอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระเจ้าโกศล ที่เจอหน้ากันทีไร ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตทุกครั้งไป พระพุทธเจ้าจึงได้วางกุศโลบายให้ทั้งสองปรองดองกัน โดยท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านของอำมาตย์คนแรกแล้วก็เทศน์จนอำมาตย์คนแรกบรรลุธรรม จากนั้นจึงให้เขาช่วยถือบาตรให้พระองค์เพื่อจะไปบิณฑบาตต่อที่บ้านของอำมาตย์อีกคนที่เคยเป็นคู่วิวาทกัน เมื่อไปถึง อำมาตย์คนที่ 2 ก็ได้นิมนต์พระศาสดาให้เข้าไปในบ้าน แล้วก็มีอำมาตย์คนแรกตามเข้าไปด้วย พระพุทธเจ้าได้เทศน์อานิสงส์แห่งการเจริญเมตตาและเรื่องอริยสัจ 4 จนอำมาตย์คนที่ 2 ก็บรรลุธรรมเช่นเดียวกับอำมาตย์คนแรก อำมาตย์ทั้ง 2 คนต่างก็ขอขมาซึ่งกันและกัน และไม่ทะเลาะกันอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กาลครั้งหนึ่ง เพื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี วันหนึ่งมีการจัดงานมหรสพใหญ่ที่กลางเมือง ชาวเมืองต่างก็มาเที่ยวเล่นในงานเป็นจำนวนมาก นอกจากมนุษย์แล้ว ก็ยังมีเทวนาค นาค และครุฑ แปลงตัวเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่นในงานด้วย และในมุมหนึ่งของงาน มีพญาครุฑที่แปลงกายเป็นมนุษย์กำลังยืนดูการแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน ขณะนั้นเอง นายพญานาคแปลงก็เดินมาดูการแสดงที่เวทีนั้นด้วยเหมือนกัน  โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า คือพญาครุฑผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจ  เพราะอาหารของพญาครุฑก็คือพญานาค พญานาคผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บังเอิญเอามือไปแตะเข้าที่บ่าของพญาครุฑ ที่อยู่ด้านหน้า พญาครุฑสงสัย ว่าใครกันนะ บังอาจเอามือมาแตะบ่าเรา ก็เลยหันขวับไปมอง เมื่อสองสายตาประสานกัน  พญาครุฑก็รู้ว่าคนที่เอามือมาแตะบ่าตน คือพญานาค แล้วพญานาคก็รู้อีกเหมือนกันว่าแววตาดุดันคู่ข้างหน้านั้นคือพญาครุฑ

 

พญานาคไม่รอช้า รีบวิ่งหนีสุดชีวิต พญาครุฑก็ไม่รอเหมือนกัน รีบวิ่งตามไปติดๆ หวังจะจับพญานาคมากินเป็นอาหารมื้อค่ำให้ได้

ตัดภาพมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากงานมหรสพ  มีพระฤาษีองค์หนึ่ง พักอยู่ที่บรรณศาลา ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น  และในตอนนั้นท่านได้ลงไปอาบน้ำในลำธารและวางผ้าอาบน้ำไว้ที่ริมฝั่ง

พญานาควิ่งมาถึง เห็นผ้าของพระฤาษีกองอยู่ ก็เลยคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า 

“ดีละเราจะไปหลบอยู่ในผ้าของพระฤาษีนี้ พญาครุฑเคารพนักบวช จะต้องไม่กล้าเข้ามาแน่ๆ” แล้วก็จัดการร่ายมนต์แปลงกายตัวเองเป็นแก้วมณี เข้าไปซุกอยู่ในผ้าของพระฤาษีทันที

พญาครุฑที่วิ่งตามมาเห็นกับตา ว่าพญานาคเข้าไปซ่อนอยู่ในผ้า ก็ไม่กล้าเลิกผ้าขึ้นเพราะเกรงใจและเคารพพระฤาษีจริงๆ ก็เลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วพูดกับพระฤาษีว่า 

“ท่านขอรับ มีพญานาคมาหลบอยู่ที่ใต้ผ้าของท่าน ท่านจงหยิบผ้าของท่านไปเถอะ ข้าพเจ้าจะกินพญานาค” 

พระฤาษีได้ตอบพญาครุฑว่า

“ท่านอย่าไปฆ่าแกงเขาเลย ถือว่าเราขอร้องละนะ ท่านรักชีวิตตัวเองยังไง เขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน หากว่าตอนนี้ท่านหิว ก็ตามเราไปที่ศาลาเถอะ เราจะจัดอาหารดีๆให้พวกท่านทั้งสองเอง 

เอ่อ แต่ตอนนีั้เราต้องขอให้ท่านพญานาค ช่วยส่งผ่าผืนนั้นมาให้เราก่อน”

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย พระฤาษีก็พาพญานาคกับพญาครุฑ ไปยังบรรณศาลา นำอาหารอย่างดีทั้งหวานและคาว มาให้พญาครุฑกับพญานาคกิน และสั่งสอนให้ทั้งสองเกิดความรักใคร่กันและกัน  โดยให้ยึดหลักเมตตาเป็นคุณธรรมประจำใจ

พญาครุฑและพญานาคทั้งสองได้เลื่อมใสเชื่อฟังพระฤาษี และสัญญาว่าจะเป็นมิตร รักใคร่กันและกันตลอดไป

 

ประชุมชาดก อุรคชาดก

พญานาคกับพญาครุฑในครั้งนั้น ได้มาเกิดเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ของพระเจ้าโกศล

พระฤาษีได้มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า

อุรคชาดก