Category Archives: นิทาน เรื่องของมนุษย์

นิทานชาดก เวทัพพชาดก : ร่ายมนต์เรียกฝนเงินทอง

นิทานชาดก เวทัพพชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก เวทัพพชาดก : ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติก็เป็นผู้ว่ายากเช่นเดียวกัน เพราะไม่ทำตามคำของบัณฑิต จนถึงกับทำให้ตัวต้องตาย และคนอื่นอีกนับพันก็ต้องตายไปด้วย

ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

มีพราหมณ์คนหนึ่ง รู้วิชาการร่ายมนต์เรียกแก้วเจ็ดประการ หากวันใดฤกษ์งามงามดี เมื่อแกสาธยายมนต์บทที่ชื่อ เวทัพพะนี้แล้ว จะมีรัตนชาติต่างๆตกลงมาจากฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์

อยู่มาวันหนึ่งพราหมณ์ได้พาศิษย์คนโปรดออกเดินทางไปต่างเมือง ในระหว่างทางกลางป่าใหญ่ ถูกพวกโจรห้าร้อยคนจับตัวไว้แล้วปล่อยศิษย์ให้กลับมาหาเงินค่าไถ่ตัวพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ ก่อนลูกศิษย์จะจากไป ได้กำชับอาจารย์ว่า

“อาจารย์… ถึงอย่างไรฉันต้องกลับมาแน่ ไม่ว่าจะอย่างไรอาจารย์ห้ามร่ายมนต์บทนั้นเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะมีอันตราย นะขอรับ”

“เออ.. ข้ารู้น่า เอ็งรีบไปรีบมาก็แล้วกัน” พราหมณ์รับคำ

พอตกเย็น พวกโจรได้ลากตัวพราหมณ์ไปมัดไว้ที่กลางแจ้งแห่งหนึ่ง เมื่อพราหมณ์ได้เห็นพระจันทร์ขึ้นมาทางทิศตะวันออก ก็แลดูอากาศ เห็นว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่ฝนแก้วเจ็ดประการจะตกลงมาได้  จึงคิดอยากช่วยตัวเองให้พ้นจากความทรมาน เลยร้องถามพวกโจรไปว่า 

นิทานชาดก ขทิรังคารชาดก : จิตไม่หวั่น ตั้งมั่นทำความดี

นิทานชาดก ขทิรังคารชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก ขทิรังคารชาดก : ทรงปรารภการมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านรักในการให้ทาน แม้ในคราวที่ทรัพย์โดนน้ำพัดไป และโดนโกง จนเหลือเงินอยู่น้อยนิด ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยังคงถวายทานอยู่เป็นประจำมิได้ขาด ถึงเทวดาประจำซุ้มประตูมาเตือนว่าอย่าทำทานมาก ท่านก็ไม่หวั่นไหวแถมยังไล่เทวดาตนนั้นออกไป 

ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

มีลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง ชอบให้ทานมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเติบโตเจริญวัยเป็นหนุ่ม และเมื่อบิดาของเขาสิ้นชีวิตลง เขาได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแทน การให้ทานของเขายังคงดำเนินต่อไป และดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน โดยคราวนี้ เขาได้สร้างโรงทานถึง 6 แห่ง จ่ายทรัพย์วันละหลายพันเพื่อบริจาค ทั้งยังรักษาศีลเป็นประจำ

วันหนึ่งขณะที่เขากำลังจะกินอาหารเช้า มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ เหาะมายืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขา พอเขาเห็นก็รีบเรียกคนใช้มาแล้วสั่งว่า

นิทานชาดก นันทชาดก : ตามล่าหาสมบัติ

นิทานชาดก นันทชาดก ตามหาสมบัติ

เหตุที่ตรัสชาดก นันทชาดก : ทรงปรารภพระภิกษุที่อยู่กับพระสารีบุตร ที่มีความประพฤติแปลกคือเมื่ออยู่ในที่หนึ่งบางครั้งทำตัวเหมือนทาส ว่านอนสอนง่าย เข้าใจคำสั่งสอน แต่เมื่อไปอยู่อีกที่หนึ่ง กลับกลายเป็นคนถือตัวจัด ไม่ฟังคำสั่งสอน พระสารีบุตรไม่เข้าใจอัธยาศัยนี้จึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่เพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่พระรูปนั้นมีความประพฤติแบบนี้ แม้ในชาติก่อนๆก็เช่นกัน แล้วจึงเล่าเรื่องในอดีต

ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

เศรษฐีแก่คนหนึ่งมีภรรยาสาวสวย และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ต่อมาเขาคิดว่าตัวเขานั้นแก่แล้วคงจะตายไปก่อนภรรยา เมื่อเขาตายไป ภรรยาอาจไปมีสามีใหม่ แล้วเอาทรัพย์สมบัติทั้งหลายไปใช้จ่ายจนหมดสิ้น ไม่มีทางที่จะถึงมือลูกชายแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะฝังทรัพย์สินของเขาไว้ ว่าแล้วก็ชวนทาสในเรือนคนหนึ่งชื่อว่า นันทะ ให้แบกเอาทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากมายไปฝังไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งแล้วสั่งไว้ว่า

“ถ้าเราตายไป จงบอกขุมทรัพย์นี้ให้กับลูกชายเรา”

อยู่มาไม่นาน เขาก็ล้มป่วย และสิ้นชีวิตลง

ฝ่ายลูกชายก็เจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งเป็นหนุ่ม แม่จึงเรียกมาแล้วเล่าว่า 

นิทานชาดก กัณหชาดก : คนโกงวัว

นิทานชาดก กัณหชาดก คนโกงวัว

เหตุที่ตรัสชาดก กัณหชาดก : ทรงปรารภการทำกิจของพระองค์ที่ไม่มีใครสามารถทำได้ เช่นการไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ การเปิดโลกทั้งสามให้เห็นซึ่งกันและกันคือ โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และนรกในวันมหาปวารณา (ออกพรรษา)

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

มีหญิงชราคนหนึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการแบ่งห้องให้คนเดินทางมาเข้าพัก วันหนึ่งคนเดินทางได้ให้ลูกวัวสีเหมือนดอกอัญชันแก่หญิงชราเพื่อเป็นค่าตอบแทน หญิงชรารู้สึกรักและถูกชะตากับลูกวัวตัวนี้มาก จึงเลี้ยงดูมันอย่างดีเหมือนกับเป็นลูกคนหนึ่งของแกเลยทีเดียว และตั้งชื่อให้มันว่า “อัยยิกากาฬกะ” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “กัณหะ

เมื่อเจ้าวัวกัณหะโตเป็นหนุ่ม มันได้รู้สำนึกบุญคุณหญิงชราที่แม้จะยากจนแต่ก็เลี้ยงดูมันมาอย่างดี มันจึงคิดตอบแทนคุณหญิงชราด้วยการไปรับจ้างลากของ

นิทานชาดก นันทิวิสาลชาดก : โคนันทิวิศาล ชอบฟังคำขานอันไพเราะ

นิทานชาดก โคนันทวิศาล นันทิวิสาลชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก นันทิวิสาลชาดก : ทรงปรารภการพูดเสียดแทงให้เจ็บใจของพวกภิกษุฉัพพัคคีย์  (ภิกษุฉัพพัคคีย์ คือ กลุ่มเพื่อนชาวกรุงสาวัตถี ๖ คน มาบวชเพื่อหาลาภสักการะ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบัญญัติพระวินัยมากมาย)

นานมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่า คันธาระ ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ

มีพราหมณ์คนหนึ่งได้ลูกวัวมาเลี้ยง แกรักมันเหมือนกับลูก ให้กินข้าวต้มข้าวสวยเหมือนมนุษย์ และตั้งชื่อว่า นันทิวิศาล

โคนันทิวิศาลเติบโตขึ้นโดยลำดับ และมีกำลังวังชาแข็งแรงอย่างยิ่ง มันตั้งใจจะสนองคุณพราหมณ์ที่เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เล็ก จนวันหนึ่งนันทิวิศาลนึกอุบายได้จึงได้บอกให้พรามณ์ไปท้าพนันกับวินทกเศรษฐี โดยวางเงินกันพันนึง

นิทานชาดก มตกภัตตชาดก : ฆ่าสัตว์แก้บนต้องทุกข์ทนโดนตัดหัว

เหตุที่ตรัสชาดก มตกภัตตชาดก : ทรงปรารภถึงการฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษของมนุษย์ในยุคนั้นที่นิยมทำกันมาก

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี

มีพราหมณ์คนหนึ่ง เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่มีชื่อเสียง ท่านมีลูกศิษย์มากมาย วันหนึ่งท่านต้องการจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษและผีไร้ญาติทั้งหลาย จึงสั่งให้ลูกศิษย์ไปจับแพะมา แล้วให้พาไปอาบน้ำ ประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ

เมื่อลูกศิษย์ได้อาบน้ำแพะเรียบร้อยแล้วจึงให้ยืนพักอยู่ที่ริบแม่น้ำนั้น จู่ๆ เจ้าแพะโชคร้ายก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง สักพักกลับร้องไห้โฮขึ้นมา พวกลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็พากันประหลาดใจ แล้วเอ่ยถามแพะขึ้นว่า

“นี่เจ้าเป็นอะไร กลัวตายจนเสียสติไปเลยรึ”

“เราไม่ได้กลัวตาย ถ้าท่านอยากรู้ พาเราไปหาอาจารย์พวกท่านสิ แล้วเราจะบอก” 

นิทานชาดก วาตมิคชาดก : รักชีวิตอย่าคิดผิดเห็นแก่กิน

นิทานชาดก วาตมิคชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก วาตมิคชาดก : ทรงปรารภพระจูฬปิณฑปาติกติสสเถระ ครั้งก่อนจะบวชบิดามารดาไม่อนุญาต จึงได้ทำการอดอาหาร 7 วันจนกระทั่งท่านยอมใจอ่อนให้บวช ต่อมามารดาเกิดร้องไห้คิดถึง นางวัณณทาสีเห็นเข้าจึงเสนอตัวว่าจะช่วยให้พระจูฬปิณฑปาติกติสสเถระสึกออกมา แต่ต้องให้ความเป็นใหญ่ในบ้านแก่นาง นางได้สอบถามมารดาว่าพระท่านชอบหรือไม่ชอบอะไร เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงได้จัดแจงอาหารที่ท่านชอบเพื่อไปใส่บาตร แล้วนิมนต์ไปรับภัตตาหารที่บ้าน ต่อมานางแกล้งป่วย พระเถระถูกตัณหาในรสผูกพันจึงเข้าไปหานางถึงในห้อง  นางวัณณทาสีรู้เหตุแห่งการมาเพื่อตน จึงประเล้าประโลมพระเถระนั้น จนกระทั่งพระต้องสึก

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี

คนเฝ้าสวนของพระเจ้าพรหมทัต ชื่อว่า สัญชัย เห็นเนื้อสมันตัวหนึ่งมาเที่ยวหากินอยู่ในเขตพระราชอุทยานเป็นประจำ

ต่อมาวันหนึ่งพระราชาตรัสถามนายสัญชัยว่า 

นิทานชาดก เสรีววาณิชชาดก : จองเวรข้ามชาติเพราะถาดทองคำ

นิทานชาดก จองเวร

เหตุที่ตรัสชาดก เสรีววาณิชชาดก : ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่งผู้ละความเพียร ว่าหากละความเพียรจะเศร้าโศกตลอดกาล

ในอดีตกาลมีพ่อค้าเร่ ชื่อเสรีวะ อยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นคนโลภ เห็นแก่ได้ อีกคนหนึ่งเป็นคนใจดีอยู่ในศีลธรรม ทั้งสองได้ทำมาหากินโดยการเร่ขายเครื่องประดับตามบ้านเรือนต่างๆ

ในวันนั้นเอง นายเสรีวะคนโลภได้เดินเร่ขายของมาถึงบ้านเศรษฐีตกยากหลังหนึ่ง  ซึ่งขณะนั้นมียายกับหลานสาวอยู่บ้านเพียง 2 คน พอหลานสาวเห็นเครื่องประดับสวยๆ เข้า ก็นึกอยากได้เป็นกำลัง

“เรามันจน ไม่มีเงินซื้อเขาหรอก หลายเอ๋ย” ยายปลอบ “รออีกหน่อย ให้เรามีเงินมากกว่านี้ ค่อยซื้อใส่เถอะ” 

“เราไม่มีเงินก็จริง แต่ของของเราก็มี เราเอาของไปแลกเขาก็ได้นี่จ๊ะยาย” หลานหาทางออก

“อืม มีแต่ของเก่าๆ เขาจะยอมแลกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ลองถามเขาดูก็ได้” ยายคล้อยตาม แล้วบอกให้หลานไปหยิบถาดเก่าในครัวออกมา พร้อมกับร้องเรียกพ่อค้า

“พ่อคุณ แวะทางนี้หน่อยเถิด” ยายตะโกนเรียก แล้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามานั่งในบ้าน

นิทานชาดก มฆเทวชาดก : ผมหงอกหนึ่งเส้น จึงหลีกเร้นไปออกบวช

เหตุที่ตรัสชาดก มฆเทวชาดก : ทรงปรารภถึงการเสด็จออกบรรพชาของพระองค์

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามฆราชครองราชสมบัติอยู่ในกรุงมิถิลานคร

พระองค์ทรงเป็นมหาธรรมราชาผู้ดำรงอยู่ในธรรม ในสมัยนั้นทรงมีพระชนม์มายุยืนนานถึงสองหมื่นปี วันหนึ่งพระองค์ทรงเรียนช่างกัลบก (ช่างตัดผม) มาแต่งพระเกศา แล้วรับสั่งว่า

“หากเจ้าเห็นผมหงอกบนศีรษะของเราในเวลาใด จงบอกแก่เราเถอะ”

เวลาได้ผ่านมาเนิ่นนาน จนวันหนึ่งในขณะที่ช่างกัลบกกำลังตั้งหน้าตั้งตาแต่งพระเกศาอยู่นั้นบังเอิญเขาเหลือบไปเห็นพระเกศาเส้นหนึ่งหงอกขาว จึงทูลว่า

“ข้าพเจ้าเห็นพระเกศาของพระองค์หงอกอยู่เส้นหนึ่ง พระองค์จะทรงอนุญาตให้ถอนไหมพระเจ้าข้า”

“ถอนซี ถอนผมหงอกของเรามาให้ดูหน่อยเถิด” พระราชารับสั่งทันที

นิทานชาดก เทวธรรมชาดก : คุณธรรมของเทวดา

เหตุที่ตรัสชาดก เทวธรรมชาดก : ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่งที่สะสมบริขารต่างๆไว้มาก ทั้งผ้าห่ม สบง จีวร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบจึงได้ตำหนิ แต่แทนที่พระรูปนั้นจะสำนึกผิดกลับแสดงอาการไม่พอใจ

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี

พระองค์ได้มีพระโอรส 2 พระองค์ ชื่อว่า มหิสาสกุมาร และ จันทกุมาร ต่อมาไม่นาน อัครมเหสีของพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าพรหมทัตจึงได้แต่งตั้งสนมนางหนึ่งให้เป็นมเหสีแทน และต่อมาพระนางก็ได้ให้ประสูติพระโอรส ชื่อว่า สุริยะกุมาร เมื่อพระราชาทรงเห็นพระโอรส ก็มีพระหฤทัยยินดีจึงได้ตรัสกับมเหสีว่า

“น้องรัก ลูกเราน่ารักเหลือเกิน พี่จะให้พรแก่ลูกของเรา 1 ประการ เจ้าต้องการสิ่งใดจงบอกพี่มาเถิด” 

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่ แต่ตอนนี้หม่อมฉันขอเก็บพรนี้ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลา หม่อมฉันจะทูลขอเพคะ” มเหสีกล่าวตอบ

เมื่อพระโอรส สุริยะกุมารเจริญวัยแล้ว มเหสีจึงได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตเพื่อทวงขอพร

“เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ น้องรัก” พระราชาตรัสถาม

“ขอพระองค์จงประทานราชสมบัติแก่พระโอรสของหม่อมฉันเพคะ” นางตอบ