เหตุที่ตรัสชาดก สัมโมทมานชาดก : ทรงปรารภการทะเลาะกันของพระญาติทางฝ่ายเมืองกบิลพัสดุ์ กับพระญาติทางฝ่ายเมืองโกลิยะ อันมีต้นเหตุมาจาการที่ชาวเมืองแย่งน้ำกันทำนา ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการน้ำ เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ทะเลาะกัน พูดจากระทบกระแทกอีกฝ่ายด้วยความสะใจ ความทราบไปถึงฝ่ายปกครองและราชวงศ์ ทั้งสองฝ่ายจึงยกทัพมาพร้อมรบ
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีนกกระจาบหลายพันตัวอาศัยอยู่ แต่เมื่อเร็วๆนี้ เป็นที่สังเกตได้ว่า ประชากรนกกระจาบได้หดหายไปจำนวนมาก ฝ่ายหัวหน้าฝูงนกกระจาบเมื่อเห็นพรรคพวกหดหายไปเรื่อยๆ เช่นนั้น ก็พยายามสืบจนได้ความว่า มีนายพรานคนหนึ่งแอบเอาข่ายไปดักจับนกกระจาบ หัวหน้าจึงเรียกประชุมนกกระจาบทั้งหมดแล้วประกาศให้ทราบ และบอกวิธีเอาตัวรอด
“…ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้ไป หากพวกเราติดข่ายนายพรานให้พร้อมใจกันเอาศีรษะลอดตาข่าย แล้วพากันออกแรงบินยกข่ายขึ้นไปครอบไว้บนต้นไม้สูงๆ แล้วก็บินหลบออกมาด้านล่าง เท่านี้พวกเราก็จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ เข้าใจไหม”
“ครับลูกพี่ พวกเราต้องเอาชีวิตรอดได้แน่นอน”
ตั้งแต่วันนั้น เมื่อพวกนกถูกข่ายนายพราน พวกมันก็พร้อมใจกันทำตามคำแนะนำของหัวหน้าอย่างเคร่งครัด กว่านายพรานจะปีนขึ้นไปแกะตาข่ายบนต้นไม้ได้ ก็ค่ำมืด จนต้องกลับบ้านมือเปล่าเสียทุกครั้ง ทำให้ถูกเมียที่บ้านเข้าใจผิด
“นี่แกไปดักนกหรือไปดักอย่างอื่น ไม่เห็นมีนกกลับมาสักตัว อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกไปแอบมีชู้ที่ไหนน่ะ!!”
“โถๆๆๆ น้องรัก พี่ไม่กล้าหรอก พี่ไปดักนกจริงๆ”
“ไหนล่ะนก หรือว่าน้องนกไม่ทราบ หา!!”
“พี่บอกแล้วไง พี่ไม่กล้าหรอกจ้า… เดี๋ยวนี้นกมันฉลาดขึ้นนะ พอจับมันได้ทีไร มันก็พากันยกข่ายขึ้นไปบนต้นไม้โน่น” นายพรานบอกเล่าให้เมียสุดที่รักฟัง แล้วรีบพูดต่ออย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“แต่คอยดูเถอะ วันนี้มันสามัคคีกันอยู่ ถ้าวันไหนมันขัดคอกันละก็ พี่จะจับมันมาทั้งฝูงเลย” นายพรานหมายมั่น
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปดังที่นายพรานว่า เพราะการอยู่รวมกันหมู่มากย่อมต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา วันหนึ่งในขณะที่นกกระจาบทั้งหลายกำลังคุ้ยเขี่ยหากินกันอยู่นั้น นกกระจาบตัวหนึ่งบินร่อนลงมาเหยียบหัวนกกระจาบอีกตัวโดนไม่ทันสังเกต
“อุ๊ย ขอโทษจ้ะพี่ ฉันไม่ทันมองน่ะ” นกตัวที่บินลงมารีบขอโทษขอโพย
“เฮ้ย บินลงมายังไงวะไม่ดูตาม้าตาเรือ แกล้งกันรึไง” ฝ่ายโดนเหยียบหัวไม่ยอม
“ก็…ฉันขอโทษแล้วนี่”
“แล้วมันหายเจ็บหรอวะ”
“แล้วจะให้ทำยังไงเล่า”
ทั้งสองตัวทะเลาะกันหนักขึ้น นกตัวอื่นๆ ก็แตกเป็นสองฝ่ายเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างทะเลาะ ไม่ยอมลงให้แก่กัน
หัวหน้าฝูงนกกระจาบเห็นดังนั้นก็รู้ดีว่า เมื่อพรรคพวกแตกคอกันอย่างนี้ความหายนะจะต้องมาเยือนเป็นแน่ เมื่อห้ามปรามตักเตือนเท่าไรก็ไม่มีใครฟัง มันจึงชักชวนญาติพี่น้องและผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดบินหนีไปอยู่ที่อื่น
รุ่งเช้านายพรานมาซุ่มดักนกตามปกติ เมื่อนกกระจาบลงมาหากินพร้อมกันแล้ว นายพรานจึงกระตุกตาข่ายตลบขึ้นทันที
“เฮ้ยพวกเรา รีบชวยกันยกตาข่ายขึ้นเร็ว” นกกระจาบตัวหนึ่งตะโกน
“ไม่! พวกมันเก่งนักนี่ ให้มันยกสิ”
“ฮึ แกเก่งกว่าข้าไม่ใช่รึ แกยกสิ”
“เรื่องอะไรจะมาให้พวกข้ายก พวกแกปากดี ยกไปคนเดียวเลย”
“แล้วเรื่องอะไรจะมาให้พวกข้ายกละวะ!!”
เป็นอันว่าเจ้านกกระจาบมัวแต่ทะเลาะกัน ไม่ช่วยกันยกข่ายเหมือนที่เคย เลยถูกจับหักปีก กลับไปกับนายพรานเสียสิ้น
ข้อคิดจากชาดก : สัมโมทมานชาดก
1. ความสามัคคีเป็นพลังให้เกิดสันติสุข หากขาดความสามัคคีย่อมถึงความพินาศย่อยยับ
2. เมื่ออยู่ด้วยกัน ย่อมต้องมีการกระทบกระทั่ง หากใครรู้ตัวว่าผิดแล้วกล่าวขออภัย ก็ควรให้อภัยแก่กันและกัน
3. ไม่ควรอยู่ใกล้คนพาล เพราะคนพาลไม่รู้จักให้อภัยใคร
ประชุมชาดก
นกกระจาบตัวที่หาเรื่อง ได้เกิดเป็น พระเทวทัต
หัวหน้านกกระจาบ ได้เกิดเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
