เหตุที่ตรัสชาดก ขทิรังคารชาดก : ทรงปรารภการมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านรักในการให้ทาน แม้ในคราวที่ทรัพย์โดนน้ำพัดไป และโดนโกง จนเหลือเงินอยู่น้อยนิด ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยังคงถวายทานอยู่เป็นประจำมิได้ขาด ถึงเทวดาประจำซุ้มประตูมาเตือนว่าอย่าทำทานมาก ท่านก็ไม่หวั่นไหวแถมยังไล่เทวดาตนนั้นออกไป
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี
มีลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง ชอบให้ทานมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเติบโตเจริญวัยเป็นหนุ่ม และเมื่อบิดาของเขาสิ้นชีวิตลง เขาได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแทน การให้ทานของเขายังคงดำเนินต่อไป และดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน โดยคราวนี้ เขาได้สร้างโรงทานถึง 6 แห่ง จ่ายทรัพย์วันละหลายพันเพื่อบริจาค ทั้งยังรักษาศีลเป็นประจำ
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังจะกินอาหารเช้า มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ เหาะมายืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขา พอเขาเห็นก็รีบเรียกคนใช้มาแล้วสั่งว่า
“นี่เจ้า รีบไปรับบาตรของพระท่านมาใส่อาหารเดี๋ยวนี้” ในขณะนั้น พญามารนึกอยากจะขัดขวางการถวายทานของเขาทันที จึงบันดาลให้เกิดหลุมถ่านเพลิงใหญ่ลึก 8 ศอก ขวางทางที่คนรับใช้จะไปรับบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
พวกคนใช้ไม่มีใครกล้าเลี่ยงฝ่าหลุมถ่านเพลิงนั้นไปได้ เพราะต่างก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อเศรษฐีเห็นดังนั้น ก็ตัดสินใจยกสำรับขึ้นทูนศีรษะ ลงจากปราสาท ครั้นจวนถึงหลุมถ่านเพลิง เห็นเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นอย่างน่ากลัว ก็ชะงักนิดหนึ่ง แต่แล้วกลับตัดสินใจอย่างมั่นคงว่า
“เอาล่ะ ตายเป็นตาย ถึงอย่างไร เราก็ต้องถวายทานให้จงได้”
แล้วก็ก้าวเดินฝ่าไปยังหลุมถ่านเพลิงอย่างไม่หวาดหวั่น
ทันใดนั้น ปรากฏมีดอกบัวขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาจากหลุมถ่านเพลิง มารองรับเท้าทั้งสองของท่านเศรษฐี ทำให้ท่านเดินไปบนดอกบัวเพื่อไปถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าได้สำเร็จ
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรแล้ว ก็กระทำอนุโมทนา แล้วเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์
ฝ่ายมารเห็นว่าตนทำอะไรไม่ได้ ก็เศร้าโศกแล้วรีบหนีไปยังที่อยู่ของตน
ข้อคิดจากชาดก: ขทิรังคารชาดก
หากมีใจมั่นคงในการทำความดี ต่อให้มีอุปสรรคใหญ่เพียงใดมาขวางกั้น ก็ไม่สามารถขัดขวางการทำความดีได้
ประชุมชาดก
เศรษฐี ได้เกิดเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
