นิทานชาดก สีลวนาคชาดก : ช้างช่วยชีวิต แต่คนคิดทำลายช้าง

นิทานชาดก สีลวนาคชาดก

เหตุที่ตรัสชาดก สีลวนาคชาดก : ทรงปรารภพระเทวทัต เมื่อพระภิกษุทั้งหลายต่างสนทนากันว่าพระเทวดาไม่รู้การมีคุณของพระพุทธเจ้า

ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นพญาช้างเผือกมีชื่อว่า “สีลวนาคราช” ได้ปกครองช้างกว่าแปดหมื่นเชือกเป็นบริวาร ภายหลังได้เห็นโทษภัยในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ใหญ่จึงหลีกเร้นออกจากหมู่คณะไปอยู่่ในป่าแต่ลำพัง

ในครั้งนั้น มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสี ได้เข้ามาหาของป่าบริเวณนั้น แต่กลับหลงป่าหาทางออกไม่ได้ จึงได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่แห่งนั้นเอง

พญาช้างเผือก สีลวนาคราช ได้ยินเสียงร้องก็รู้ได้ว่ามีคนหลงป่า คิดจะช่วยเหลือ จึงเดินเข้าไปหา พรานป่าเห็นช้างใหญ่เดินเข้ามา จึงวิ่งหนี เมื่อพรานวิ่ง พญาช้างก็หยุด เมื่อเห็นช้างหยุด พรานก็หยุดด้วย เมื่อพรานหยุด ช้างก็เริ่มเดินเข้าไปหาใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายรอบ นายพรานจึงคิดได้ว่า พญาช้าง นี้คงไม่คิดทำอันตรายเรา แต่คงจะมาช่วยเราแน่ๆ เขาจึงหยุดเมื่อช้างเดินเข้ามาหา

พญาช้าง เดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า เหตุใดเขาจึงร้องไห้คร่ำครวญเช่นนั้น

นายพราน จึงตอบไปว่าเขาหลงป่าหาทางออกไม่ได้ และกลัวตาย

พญาช้าง จึงปลอบใจ พาเขาไปยังที่อยู่ของตน เลี้ยงดูด้วยผลไม้อย่างดี 2-3 วัน แล้วให้เขาขึ้นหลังพาไปส่งยังชายป่า

ในขณะที่นายพรานนั่งอยู่บนหลังช้างนั้น เขาคิดตลอดทางว่าถ้ามีใครถามว่าออกมาได้อย่างไร เขาต้องบอกได้ จึงได้ทำเครื่องหมายไว้ที่บนต้นไม้ไว้อย่างถ้วนถี่

เมื่อมาถึงชายป่าแล้ว พญาช้าง ได้ร้องขอเขาว่าอย่าได้บอกใครถึงถิ่นที่อยู่ของตนในป่า แล้วส่งนายพรานกลับเข้าเมืองไป

เมื่อนายพรานกลับเข้าเมืองแล้ว ก็รีบตรงไปร้านช่างสลักงา แล้วถามว่าพวกเขารับซื้องาช้างจากช้างที่ยังมีชีวิตหรือไม่ นายช่างตอบว่าแน่นอน งาช้างเป็นราคาแพงกว่างาช้างตายอีก

นายพรานจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง วันต่อมาจึงจัดหาเสบียงและเลื่อย ไปยังที่อยู่ของพญาช้าง

พญาช้าง : ท่านกลับมา ต้องการอะไรหรือ

นายพราน : ข้าเป็นคนยากจน ไม่มีเงินพอเลี้ยงตัวเอง จะมาขอตัดงาเพื่อนำไปขาย เป็นทุนทรัพย์เลี้ยงชีวิต

พญาช้าง : ถ้าท่านเตรียมเลื่อยมา ก็เอาสิ ตัดได้เลย

แล้วพญาช้างก็คุกเข่าหมอบลง ให้นายพรานเลื่อยตัดปลายงานั้นได้อย่างง่ายได้

พญาช้างได้เอางวงจับงาของตนขึ้นมาตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ผลแห่งทานนี้เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ธรรมในภายภาคหน้าเถิด แล้วให้งาทั้งคู่แก่นายพรานไป

นายพรานได้นำงาคู่นั้นไปขาย ได้เงินมามากมาย ใช้เลี้ยงชีพอย่างรุรุ่ยสุร่าย เมื่อเงินหมด ก็แบกเลื่อยเข้าป่าไปหาพญาช้างอีก

นายพราน : ท่านพญาช้าง เงินที่ได้จากการขายปลายงาของท่าน มันพอแค่ให้ข้าไปใช้หนี้เท่านั้น ชีวิตข้าก็ยังอัตคัตขัดสนอยู่ดี ข้าขอตัดงานตรงส่วนกลางของท่านอีกสักหน่อยเถอะ

ช้างพระโพธิสัตว์ ก็หมอบลงแล้วให้เขาตัดงาส่วนกลางไป

เมื่อนายพรานนำงาไปขายและใช้เงินหมดแล้ว เขาก็กลับมาหาพญาช้างและขอตัดงาส่วนที่เหลืออีก พญาช้างก็ยินดีให้เขาตัดเช่นเดิม

คราวนี้เป็นส่วนของโคนงา ที่จมลึกเข้าไปในปาก นายพรานปีนขึ้นไปบนงวง ใช้ส้นเท่ากระทืบปลายงาทั้งสอง ฉีกเนื้อตรงสนับงา ปีนลงมาจากกระพอง เอาเลื่อยตัดโคนงาแล้วเดินออกไป พญาช้างได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

เมื่อนายพรานเดินลับสายตาพญาช้าง แผ่นดินก็แยกออก มีเปลวไฟแลบออกมาห่อหุ้มกายของนายพรานลากร่างนั้นจมดิ่งลงไปใต้ดิน

รุกขเทวาเห็นดังนั้นจึงปรากฏกายแล้วกล่าวคาถาว่า

“ถึงจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่ผู้อกตัญญู คิดทำลายมิตร ก็ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้”

ประชุมชาดก สีลวนาคชาดก
นายพรานผู้ทำลายมิตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต
รุกขเทวดาได้มาเป็น พระสารีบุตร
ส่วนพญาช้างผู้มีศีลได้มาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นิทานชาดก สีลวนาคชาดก